พลังของการ "ตั้งเป้าหมาย"

พลังของการ "ตั้งเป้าหมาย"

ในปี 1953 มหาวิทยาลัยเยล ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยชั้นแนวหน้าของสหรัฐอเมริกา ได้เคยทำการวิจัยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการตั้งเป้าหมายกับ

การบรรลุถึงความสำเร็จ โดยทำการวิจัยกับกลุ่มนักศึกษาที่กำลังจะจบจากมหาวิทยาลัยเพื่อออกไปทำงาน โดยให้นักศึกษากลุ่มดังกล่าวเขียนเป้าหมายในชีวิตไว้ว่า จบไปแล้วอยากจะประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างไร? ซึ่งพบว่า

มีจำนวนนักศึกษาเพียง 3% ของนักศึกษาทั้งหมดที่เขียนเป้าหมายในชีวิตไว้อย่างชัดเจน ส่วนอีก 97% ของนักศึกษาทั้งหมดกลับเขียนเป้าหมายในชีวิตไปอย่างเสียมิได้ หรือบางคนก็เขียนเป้าหมายในชีวิตของตนไปอย่างเป็นนามธรรม เช่น จะสร้างความมั่งคั่งในชีวิตให้สูงที่สุด ไม่มีตัวเลขของความสำเร็จหรือระยะเวลาอ้างอิงที่เป็นรูปธรรมที่จะเป็นเป้าหมายในชีวิตได้เลย

เวลาผ่านไป 20 ปี พบว่า กลุ่มนักศึกษาที่เขียนเป้าหมายในชีวิตไว้อย่างชัดเจน มีจำนวนเพียง 3% ของนักศึกษาทั้งหมด สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุขมากกว่า และมีฐานะความเป็นอยู่ที่ดีกว่า กลุ่มนักศึกษาที่เขียนเป้าหมายในชีวิตไว้อย่างคลุมเครือหรือไม่ตั้งใจเขียนซึ่งมีจำนวนสูงถึง 97% ของนักศึกษาทั้งหมด

ที่น่าแปลกใจไปกว่านั้นก็คือ กลุ่มนักศึกษาที่มีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจนที่มีเพียง 3% ของนักศึกษาทั้งหมดนั้น แต่กลับมีมูลค่าทรัพย์สินรวมกันมากกว่า...มูลค่าทรัพย์สินรวมกันของกลุ่มนักศึกษาที่มีเป้าหมายในชีวิตที่ไม่แน่นอน ที่มีสัดส่วนถึง 97% เสียอีก

ผมมีตัวอย่างหนึ่งของชีวิตจริงของคนคนหนึ่ง ที่เขาสร้างความร่ำรวยให้แก่ตนเอง โดยการตั้งเป้าหมายในชีวิตไว้ว่า...

“ข้า...จะทำทุกอย่าง เพื่อให้ได้เงินล้านก่อนอายุ 20 ปี”

เขามีชื่อว่า คุณทิวา ชินธาดาพงศ์ หรือคุณมี่ มี่เป็นคนชอบคิดที่อยากจะ “รวยเร็ว” ดังนั้น หลังจากเรียนจบชั้น ม. 3 มี่จึงตัดสินใจไม่เรียนต่อ ม. 4 แต่ไปยึดอาชีพขี่ "มอเตอร์ไซค์รับจ้าง" แทน

มี่ตั้งเป้าจะรวยจากการขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้าง เขาตั้งเป้าที่จะต้องหาเงินให้ได้อย่างต่ำวันละ 1,000 บาท บางวันลูกค้าน้อยมาก เขาต้องขี่มอเตอร์ไซค์ตั้งแต่ 6 โมงเช้ายันเที่ยงคืน เพียงเพื่อให้ทุกวันต้องได้เงิน...หนึ่งพันบาท แต่พ่อของมี่เองกลับรู้สึกอับอายที่ลูกชายมาขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้าง จึงส่งมี่ไปเรียนต่อที่เมืองจีน โดยไปอยู่กับพี่ชายต่างมารดาที่เมืองกวางโจว เขาอยู่ที่นั่นนานถึง 2 ปีครึ่ง

พอกลับมา มี่ก็ใช้ภาษาจีนที่ไปร่ำเรียนมา เขาเริ่มทำอาชีพ "ไกด์นำเที่ยว" และก็พบว่าอาชีพนี้คงทำให้เขา “ร่ำรวยไม่ได้” เขาจึงออกแสวงหาอาชีพที่จะทำให้เขาร่ำรวยต่อไป เขาเปลี่ยนงานเป็นว่าเล่น ไม่ว่าจะเป็นเซลส์แมนขายเครื่องเสียงตามร้านคาราโอเกะ เป็นพนักงานขายประกันชีวิต "เอไอเอ" เป็นพนักงานขายรถยนต์ "มิตซูบิชิ" เป็นลูกจ้างไปขายคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือ

ที่ร้านขายคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือนี่เอง เขาก็มีโอกาสเซ้งร้านมาเป็นของตัวเอง และเริ่มชีวิต "เถ้าแก่" เป็นครั้งแรกในชีวิต ช่วงนี้เองมี่สามารถขายโทรศัพท์มือถือได้เป็นจำนวนมาก เงินทองก็ไหลมาเทมา มี่เริ่มต้นจับเงิน "ล้าน" เป็นครั้งแรกในชีวิต หลังจากนั้นก็มาลงทุนทำธุรกิจระบายสีตุ๊กตาปูนปั้น แล้วขยับไปทำร้านเกมอินเทอร์เน็ต ขยาย 5-6 สาขา จนมีเงินหลายล้านบาท

ชีวิตการลงทุนของมี่เริ่มต้นเมื่อเขาต้องไปส่งของที่โรงแรมแห่งหนึ่ง และเผอิญได้ไปฟัง ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร พูด เขาได้ฟังหลักการลงทุนที่เน้นคุณค่า และสร้างแรงบันดาลใจให้เขาคิดว่า “การลงทุนในหุ้น” นี่แหละจะเป็นหนทางสู่ “ความร่ำรวย” มี่เริ่มลงทุนในตลาดหุ้นด้วยเงินก้อนแรก 500,000 บาท เขาเริ่มเล่นหุ้นโดยเล่นหุ้นตามคนอื่น ใครว่าตัวไหนดีก็ซื้อตัวนั้น หลังเข้าสู่ตลาดหุ้นได้ไม่กี่เดือน เขาก็ใจกล้าขึ้นอีก จึงเพิ่มเงินไปซื้อหุ้นอีกหลายล้านบาท

วิธีการหาความรู้ของมี่คือ อาศัยอ่านหนังสือที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์งบการเงิน หากไม่เข้าใจ...ก็จะโทรไปถามคนเก่งๆ ส่วนการประเมินราคาหุ้นนั้น ตารางที่มี่ทำออกมาก็จะออกแนวบ้านๆ อย่างที่เราเข้าใจ ไม่ได้ซับซ้อนเหมือนที่นักวิเคราะห์ทำ แต่ถือว่าสร้างผลตอบแทนได้ดีตลอด ยกตัวอย่างปี 2553 พอร์ตที่ลงทุนได้กำไรประมาณ 200% ขณะที่ในปี 2552 ได้กำไร 300% ในปี 2552 ที่ได้กำไรเยอะเป็นเพราะตลาดหุ้นเพิ่งฟื้นตัวหลังวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ในสหรัฐอเมริกา ตลาดหุ้นก็เลยโดดเด่นเป็นพิเศษโดยการแบ่งสัดส่วนของเงินออกเป็น 3 ส่วน ส่วนที่หนึ่งประมาณ 60% จะนำไปลงทุนในหุ้น ส่วนที่สองประมาณ 30% จะเก็บเอาไว้ให้ลูก ส่วนที่เหลืออีก 10% จะเก็บเป็นเงินสด แต่อาจมีการเปลี่ยนแปลงอัตราส่วนดังกล่าวโดยเฉพาะช่วงตลาดหุ้นบูมๆ

มี่เองไม่เคยคาดฝันว่าจะมีเงินเป็นร้อยล้านบาทเหมือนในวันนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นมากกว่าสิ่งที่เขาฝันไว้ จากชีวิตที่มีเงินติดกระเป๋าแค่ 100 บาท วันนี้มีเงินเป็น "ร้อยล้าน" ปัจจุบัน เขามีเงินพอใช้อย่างสบาย มีครอบครัวที่น่ารัก และที่สำคัญคือ เขายังคงมีเพื่อนที่ดีๆ จำนวนมากมายที่มีอาชีพเดียวกับเขานั่นคือ อาชีพนักลงทุน

การตั้งเป้าหมายในชีวิตของมี่ที่ว่า

“ข้า...จะทำทุกอย่าง เพื่อให้ได้เงินล้านก่อนอายุ 20 ปี”

มันไม่ได้จบเพียงเท่านั้น...

เพราะ การตั้งเป้าหมายชีวิต...ในครั้งนั้น

มันได้ทำให้มี่...ทุกวันนี้มีเงินเป็น...ร้อยล้านบาท ไปแล้ว