พรรคเพื่อไทย "ตระบัดสัตย์"

พรรคเพื่อไทย "ตระบัดสัตย์"

ความเชื่อถือและเชื่อมั่น (Trust) เป็นฐานที่สำคัญที่สุดในการปกครองระบอบประชาธิปไตย เพราะเป็นหลักประกันการดำเนินชีวิตร่วมกันในสังคม

คนทุกคนที่ได้ยอมเสียสิทธิส่วนตัวส่วนหนึ่งให้แก่รัฐประชาธิปไตยก็เพื่อที่จะได้หลักประกันการอยู่ร่วมกันและการคาดหมายอนาคตได้ระดับหนึ่งในรัฐ

แน่นอนว่านักการเมืองทั้งหลายก็มีหลักการประจำตัวอยู่ข้อหนึ่ง ก็คือ ความพร้อมที่จะโกหกหรือไม่พูดความจริงทั้งหมด แต่พรรคการเมืองในการปกครองระบอบประชาธิปไตยจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีหลักการที่จะรักษา “สัตย์” ที่ให้ต่อสังคมและพลเมือง ไม่อย่างนั้นแล้ว การกล่าวถึงนโยบายต่างๆ ของพรรคก็เท่ากับน้ำลายที่พ่นออกมาเท่านั้น พรรคการเมืองใดที่ไม่รักษา “สัตย์” ในเรื่องหนึ่งใด ก็เท่ากับได้ทำลายฐานความเป็นพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตยไปแล้ว

แถลงการณ์ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนเรื่อง "หยุดการบิดเบือนกฎหมายนิรโทษกรรม หยุดการตระบัดสัตย์ของพรรคเพื่อไทย" (รบกวนท่านผู้อ่านหาอ่านในสื่อมวลชนทั่วไปนะครับ) ชี้ให้เห็นว่าการตระบัดสัตย์ของพรรคเพื่อไทยในกรณีการบิดเบือนกฎหมายนิรโทษกรรมนี้เป็นการทำให้ความผิดทั้งหลายทุกประการที่ก่อให้เกิดความรุนแรงในสังคมไทยถูกซุกเข้าไปอยู่ใต้พรมอีกครั้งหนึ่ง และจะก่อให้เกิดความขัดแย้งมากขึ้นในสังคมไทย โดยเน้นให้เห็นว่าการตระบัดสัตย์ครั้งนี้ทำไปเพื่อ “ทักษิณ” เพียงคนเดียว

ประเด็นสำคัญของแถลงการณ์ได้เรียกร้องจากประชาชนที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทยให้แสดงพลังยับยั้งกฎหมายนิรโทษกรรมนี้ เพราะ “พรรคการเมืองก็จะต้องรับฟังความคิดเห็นและความต้องการของบุคคลผู้ซึ่งเป็นฐานเสียงของพรรค หากพรรคการเมืองใดตัดสินใจดำเนินนโยบายของตนไปโดยเห็นแก่ผู้มีอำนาจภายในพรรคและไม่เห็นหัวฐานเสียงของพรรค ก็ไม่มีความจำเป็นใดที่จะต้องให้การสนับสนุนพรรคดังกล่าวต่อไป”

ข้อเสนอของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนในการจัดการการตระบัดสัตย์ของพรรคเพื่อไทย (เพื่อ “ทักษิณ”) ในครั้งนี้ ก็เพื่อที่จะสร้างบรรทัดฐานในการสร้างความยุติธรรมแห่งรัฐ และการสร้างระบอบประชาธิปไตยที่พรรคการเมืองจะต้องฟังเสียงประชาชน

ผมขอใช้คำพูดเดียวกับน้องสาวและน้องเขยทักษิณนะครับที่กล่าวทำนองว่า "หากไม่ทำตอนนี้ แล้วจะทำตอนไหน" (ออกกฎหมายนิรโทษกรรมพี่ชาย/พี่เขย ข่าวบอกว่ามีการหลั่งน้ำตาออดอ้อนด้วยซิ) เพราะถ้าประชาชนที่เคยสนับสนุนพรรคเพื่อไทยไม่แสดงพลังประชาธิปไตยหยุดกฎหมายที่ลากสังคมไทยไปสู่หุบเหวของความขัดแย้งในวันนี้ แล้วจะกำกับพรรคการเมืองไม่ให้ตระบัดสัตย์ต่อไปได้ในวันไหนกัน หากจะรอให้ถึงการยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ ก็ต้องยอมเลือกพรรคตระบัดสัตย์นี้ต่อไป เพราะไม่มีตัวเลือก พรรคการเมืองตระบัดสัตย์ก็จะเหลิงอำนาจมากขึ้นไปอีก

ผมขอย้ำต่อประชาชนทุกคนนะครับว่า “ถ้าไม่ทำวันนี้ แล้วจะทำวันไหน” เพราะกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับนี้จะเป็นปัจจัยขัดขวางการจัดความสัมพันธ์ที่เหมาะสมระหว่างรัฐกับสังคม และที่สำคัญ ในวันนี้ เชื่อได้ว่ากลุ่มชนชั้นนำไทยที่เคยขัดแย้งกันนั้นได้จัดความสัมพันธ์กันใหม่แล้ว จึงสามารถที่จะร่วมกันออกกฎหมายฉบับนี้มา ดังนั้น หากปล่อยกฎหมายฉบับนี้ออกไปได้ ก็จะเป็นการวางรากฐานอันเอื้อให้แก่การร่วมมือกันระหว่าง “อำมาตย์เหลืองและอำมาตย์แดง” ให้สามารถกดขี่/บีฑาประชาชนได้มากขึ้น

ต้องบอกกล่าวกันให้ชัดเจนนะครับ ว่าธรรมชาติของกลุ่มคนที่เป็นอำมาตย์ (หรืออยากเป็นอำมาตย์) ไม่ว่าจะอ้างว่าเป็นเหลืองหรือแดง ล้วนแล้วแต่เหมือนกันทั้งสิ้น สีเสื้อเป็นเพียงเครื่องหมายให้เห็นถึงสังกัด “นาย” ที่ต่างกันเท่านั้น ดังนั้น “อำมาตย์เหลืองและอำมาตย์แดง” ไม่ได้แตกต่างกัน อย่ามัวแต่ต่อต้านเฉพาะอำมาตย์สังกัด “นาย” คนไหนเท่านั้น ต้องคิดถึงภาระที่จะกดบนหัวของเราจากอำมาตย์ทั้งหลายครับ

นอกจากการเข้าใจธรรมชาติของ "อำมาตย์" แล้ว การหลุดออกจากการอยู่ใต้สังกัดมูลนายสมัยใหม่นั้นจำเป็นที่จะต้องเข้าใจความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมในช่วงที่ผ่านมาด้วย

ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมที่เกิดขึ้นในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา ได้ส่งผลบีบบังคับให้เกิดความเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐไปมากแล้ว ดังจะเห็นได้จาก การขยายตัวของรัฐทางด้านบริการ ไม่ว่าจะเป็น การสาธารณสุข การศึกษา ซึ่งการขยายตัวของรัฐเช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะมีคนบางคนฉลาดหรือจริงใจต่อประชาชนหรอกครับ หากแต่เป็นการรับตัวเพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลง เช่น การขยายการบริการของรัฐทางด้านสาธารณสุขและการศึกษาก็เพื่อที่จะสร้างแรงงานที่แข็งแรงและมีศักยภาพในการทำงานในระบบเศรษฐกิจแบบใหม่

ที่สำคัญ ก็คือ เมื่อเกิดการขยายตัวของรัฐทางด้านบริการแล้ว ไม่มีทางที่จะหดกลับไปได้ครับ เพราะหากหดกลับก็จะเกิดปัญหาความขัดแย้งทั้งในระดับของการเคลื่อนไหวประชาชน และในระดับของการพัฒนาเศรษฐกิจ ดังนั้น หากจะถอยออกมาจากการเป็นพลเมืองใต้สังกัดมูลนายสมัยใหม่ไม่มีผลกระทบต่อการได้รับบริการจากรัฐในลักษณะที่เป็นมาครับ

ในแถลงการณ์ส่วนท้ายของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน จึงเน้นว่า “ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่ตระหนักถึงความจำเป็นของการออกกฎหมายนิรโทษกรรม ได้ร่วมกันกดดันและปฏิบัติการเพื่อยุติการบิดเบือนกฎหมายนิรโทษกรรมและการตระบัดสัตย์ของพรรคเพื่อไทย ด้วยการแสดงความเห็นคัดค้านและถอนตัวจากการมีส่วนเกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทย เพื่อเป็นการแสดงถึง “อำนาจ” ของประชาชนในการกำกับนโยบายและทิศทางของพรรคการเมือง ทั้งนี้จะไม่เพียงเป็นการสั่งสอนพรรคเพื่อไทยเท่านั้น หากยังจะเป็นบทเรียนให้กับพรรคการเมืองอื่นๆ ได้ตระหนักต่อไปถึงความสำคัญของประชาชนที่มีต่อพรรคการเมืองต่อไปในวันข้างหน้า”

สำหรับผมเอง ขอร้องท่านผู้อ่านทั้งหมดช่วยกันหารายชื่อคัดค้านแล้วส่งไปยังสื่อมวลชน หรือผ่านไปยังตัวแทนลักษณะใดลักษณะหนึ่ง หากใครสามารถทำหน้าที่เป็นตัวแทนได้ ก็ช่วยขยายกลุ่มให้กว้างขวางมากที่สุดครับ เพื่อที่จะยืนยันว่าเราทั้งหมดไม่ใช่ “เบี้ย” หรือ “ไพร่สังกัดมูลนาย” อย่างที่พวกเขาคิดอยู่