ชวนคนไทยใช้กองทุนรวม

ชวนคนไทยใช้กองทุนรวม

สวัสดีค่ะ เข้าใกล้สิ้นปีกันแล้ว พอร์ตการลงทุนของท่านผู้อ่านเป็นอย่างไรกันบ้างคะ

การลงทุนในปีนี้นับเป็นปีที่มีความเคลื่อนไหวใหญ่หลายครั้ง ดูจะมีความตื่นเต้น และเต็มไปด้วยความผันผวนทีเดียว

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอัตราดอกเบี้ย ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ และอัตราแลกเปลี่ยน ที่มีความผันผวนกันตลอดปีในปีนี้ ดังนั้น การลงทุนโดยตรงด้วยตนเองจึงต้องใช้เวลาในการศึกษาหาความรู้ในปัจจัยที่มีผลกระทบต่อราคาของหลักทรัพย์แต่ละประเภท และในขณะเดียวกันก็ต้องใช้ความสามารถในการตัดสินใจและบริหารจัดการในการเลือกลงทุนในหลักทรัพย์นั้นด้วยเช่นกัน เช่น พันธบัตร หรือ หุ้น ตัวใดตัวหนึ่ง ซึ่งคงจะเป็นเรื่องไม่ง่ายนักสำหรับผู้ลงทุนมือใหม่หรือผู้ที่มีเวลาจำกัด

เครื่องมือลงทุนที่น่าสนใจ และเป็นประโยชน์ที่หลายท่านคุ้นเคยก็คือ “กองทุนรวม” และที่เรียกว่ากองทุนรวมก็เนื่องจากเป็นการลงทุนร่วมกันของผู้ลงทุนหลายๆ ท่าน โดยมีผู้จัดการกองทุนเป็นผู้บริหารและจัดการเงินลงทุนเหล่านั้น ให้ไปลงทุนในหลักทรัพย์ตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ ที่เรียกว่า “นโยบายการลงทุน” ซึ่งครอบคลุมประเภทของหลักทรัพย์ที่จะลงทุน และสัดส่วนของหลักทรัพย์ที่ลงทุนได้

ยกตัวอย่างเช่น กองทุนพันธบัตรรัฐบาลที่มุ่งลงทุนเฉพาะพันธบัตร กองทุน LTF ที่ลงทุนในหุ้นระยะยาว หรือในบางกองทุนจะกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดของกองทุน เช่น กองทุนตราสารหนี้อายุ 2 ปี หรือกำหนดระดับอัตราผลตอบแทน เช่น กองทุนทริกเกอร์ นอกจากนั้นยังอาจมีการกำหนดรายละเอียดของหลักทรัพย์ เช่น คุณภาพของตราสารหนี้ที่ต้องมีอันดับเครดิต การลงทุนในหุ้นที่มีสภาพคล่องและขนาดใหญ่ เช่น หุ้นในกลุ่ม SET50 หุ้นในกลุ่ม SET100 หรือหุ้นในกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนเงินปันผลดี เป็นต้น

กองทุนรวมนั้นจึงเป็นเครื่องมือการลงทุนที่มีความหลากหลาย ที่จะสามารถสนองตอบกับความต้องการของผู้ลงทุนได้อย่างครบวงจร ทั้งในเรื่องของการกระจายความเสี่ยง การสร้างผลตอบแทน และที่สำคัญ คือ การบริหารจัดการด้วยผู้จัดการกองทุนมืออาชีพ ที่สามารถตรวจสอบการทำงานได้ และสำหรับผู้ที่ต้องการการเก็บออมระยะยาว ที่คำนึงถึงอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนด้วยนั้น

การลงทุนในหุ้นนับเป็นแนวทางที่ได้มีการพิสูจน์ทราบในทุกประเทศทั่วโลกว่าเป็นสินทรัพย์ที่ให้อัตราผลตอบแทนโดยเฉลี่ยมากกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ ลองดูตัวอย่างจากกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นทั้ง 3 ประเภทของไทย ได้แก่ กองทุนรวม LTF กองทุนรวม RMF และกองทุนรวมหุ้น ซึ่งมีอัตราผลตอบแทนต่อปีในช่วง 5 และ 10 ปีที่ผ่านมาอยู่ในระดับสูง

กองทุน LTF และ RMF 5 อันดับแรกที่มีอัตราผลตอบแทนสูงนั้น มีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยในรอบ 5 ปีที่ผ่านมาปีละ 18.9% - 23.3% ในรอบ 3 ปี ได้รับอัตราผลตอบแทนปีละ 14.4% - 20.4% และเมื่อคำนวณย้อนหลังเพียง 1 ปี ก็จะได้รับผลตอบแทนสูงถึง 20.4% - 30.2%

โดยข้อมูลที่ใช้เป็นข้อมูลจากสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) พูดง่ายๆ ว่า ถ้าท่านผู้อ่านลงทุน 100 บาท ในระยะเวลา 5 ปี และได้รับอัตราผลตอบแทนตามข้างต้น เงินต้น 100 บาทนั้น จะเพิ่มค่าเป็น 237.63- 284.98 บาท ในปีที่ 5 สำหรับกองทุนหุ้นนั้น ก็พบว่ามีอัตราผลตอบแทนที่น่าประทับใจเช่นเดียวกัน กล่าวคือ มีอัตราเฉลี่ยปีละ 22.91% - 26.22% และสำหรับระยะเวลา 3 ปีนั้นก็ยังอยู่ในระดับสูงคือ 21.41% - 24.66% ต่อปี

คงต้องเรียนท่านผู้อ่านว่า รายชื่อข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างที่ทางสมาคมบริษัทจัดการลงทุนได้นำมาให้เป็นข้อมูลในเบื้องต้น จริงๆ แล้ว ยังมีกองทุนดี อีกมาก ที่บริหารจัดการโดยมืออาชีพ และให้ผลตอบแทนที่ดี ดิฉันจึงขอชวนคนไทยมาใช้กองทุนรวม เพื่อการสร้างความมั่นคงทางการเงินของเราในระยะยาว