ข่าวที่ไม่เป็นข่าว

ข่าวที่ไม่เป็นข่าว

ในรอบปีที่ผ่านมามีเหตุการณ์สำคัญๆ เกิดขึ้นมากมายทั่วโลก สื่อต่างๆ มีการเผยแพร่ข่าวที่ตนเองที่คิดว่าสำคัญตามความคิดเห็นของตนเอง

แต่ไม่น่าเชื่อว่าเหตุการณ์สำคัญๆ ในปีที่แล้ว คือ ปี 2555 ที่ผ่านมาหลุดรอดการนำเสนอของสื่อไป อาจจะด้วยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม มหาวิทยาลัยโซโนมาสเตท (Sonoma State University) แห่งสหรัฐอเมริกา ได้จัดตั้งโครงการ Project Censored ขึ้นมาเพื่อให้ความรู้แก่นักศึกษาและประชาชนทั่วไปเกี่ยวกับบทบาทของสื่อมวลชนรวมทั้งวิพากษ์วิจารณ์การปิดกั้นข่าวและเซนเซอร์ตัวเองของสื่อมวลชนสหรัฐ โดยให้นักหนังสือพิมพ์ นักวิชาการ และประชาชนทั่วโลก เสนอข่าวที่คิดว่ามีความสำคัญแล้วทางโครงการจะคัดกรองให้เหลือ 25 ข่าวที่เห็นว่าสำคัญ โดยผมจะยกบางข่าวที่น่าสนใจมานำเสนอโดยไม่ได้เรียงตามลำดับเดิม แต่เรียงตามความสนใจของผม ดังนี้

นักโทษหญิงปาเลสไตน์ถูกล่ามขณะคลอดบุตร

นักโทษหญิงชาวปาเลสไตน์ในเรือนจำของอิสราเอลถูกปฏิบัติอย่างไร้มนุษยธรรม พวกเธอไม่ได้รับการรักษาพยาบาลและไม่ได้รับการช่วยเหลือด้านกฎหมาย อีกทั้งต้องอยู่ในห้องขังที่มีสภาพสกปรก ซึ่งคณะกรรมการกำจัดการเลือกปฏิบัติต่อผู้หญิงแห่งสหประชาชาติ (CEDAW) ได้ให้ความเห็นว่าการกระทำรุนแรงต่อนักโทษหญิงและสภาพความเป็นอยู่ที่ย่ำแย่ที่พวกเธอต้องเผชิญนี้จำเป็นที่จะต้องได้รับการนำเสนอในแง่มุมด้านเพศสภาพ

ผลกระทบนิวเคลียร์ฟุกุชิมาร้ายแรงกว่าที่คิด

หลักฐานที่มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ จากแหล่งข่าวอิสระได้ชี้ให้เห็นว่าผลกระทบในทางลบจากเหตุการณ์ภัยพิบัตินิวเคลียร์ที่ฟุกุชิมะ ไดอิชิ ญี่ปุ่น ในปี 2554 มีความร้ายแรงกว่าที่เข้าใจกันมากมายนัก รายงานที่ตีพิมพ์ใน International Journal of Health Services เมื่อเดือนธันวาคม 2554 บ่งบอกว่าการที่มีผู้เสียชีวิตกว่า 14,000 รายในสหรัฐในเวลา 14 สัปดาห์หลังเกิดเหตุมีส่วนเชื่อมโยงโดยตรงกับฝุ่นผงกัมมันตรังสีจากญี่ปุ่นที่พัดมาถึงชายฝั่งสหรัฐและปนเปื้อนไปในแหล่งน้ำและอากาศ

เอฟบีไอพัวพันแผนการก่อการร้ายส่วนใหญ่ในสหรัฐ

สำนักงานสืบสวนกลางแห่งสหรัฐอเมริกาหรือ FBI ได้ใช้วิธีพิเศษในการป้องกันเหตุก่อการร้ายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตภายในประเทศ พวกเขาจัดตั้งเครือข่ายสายลับจำนวนเกือบ 15,000 คนแทรกซึมลงไปในชุมชนต่างๆ เพื่อเข้าไปสืบหาเบาะแสการวางแผนก่อการร้าย อย่างไรก็ตาม กลายเป็นว่าสายลับเหล่านี้คอยให้การสนับสนุนผู้คนให้ก่อเหตุอาชญากรรมขึ้น เนื่องจากเมื่อพวกเขารายงานเบาะแสในแต่ละกรณี สายลับเหล่านี้จะได้รางวัล 100,000 ดอลลาร์สหรัฐหรือเกือบ 3 ล้านบาทเป็นการตอบแทน

เครือข่ายองค์กรเพียงไม่กี่กลุ่มที่ครอบงำเศรษฐกิจของทั้งโลก

ผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยซูริกพบว่ามีเพียงบริษัทวงแคบๆ กลุ่มหนึ่งซึ่งส่วนใหญ่เป็นธนาคารพาณิชย์กุมอำนาจเหนือชะตาเศรษฐกิจของทั้งโลกไว้อย่างทรงพลัง ในขั้นตอนแรกการศึกษาชิ้นนี้ได้สำรวจบรรษัทข้ามชาติทั้ง 43,060 แห่งและสืบสาวเครือข่ายความสัมพันธ์ไปสู่ตัวเจ้าของกิจการที่แท้จริง และจากการวิเคราะห์เครือข่ายเหล่านี้พบว่ามีเพียง 147 บริษัทเท่านั้นที่กุมอำนาจสูงสุดในบริษัทลูกทั้งหลายและเป็นตัวควบคุมความมั่งคั่งรวมของเศรษฐกิจโลกถึงร้อยละ 40 การที่เครือข่ายความสัมพันธ์มีลักษณะเล็กและแคบเช่นนี้เป็นตัวบ่งชี้ว่าเครือข่ายนี้มีแนวโน้มที่จะพบกับความเสี่ยงที่เป็นระบบหรือความเสี่ยงในลักษณะลูกโซ่ (Systemic Risk) และมีความเปราะบางที่จะเกิดความล่มสลายในที่สุด

ปฏิรูปการศึกษาเพื่อธุรกิจ

นโยบายปฏิรูปการศึกษาในสหรัฐ (ที่นักการศึกษาไทยส่วนใหญ่ไปลอกเอาของเขามา) ที่มีการจัดการอย่างดีและมีงบประมาณสนับสนุนจากบริษัทต่างๆ แท้จริงแล้วเบื้องหลังคือความพยายามเปลี่ยนแปลงโรงเรียนให้มีความเป็นเอกชนให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยเป้าหมายหลักคือระบบการศึกษาของรัฐโดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานศึกษาในเขตเมือง โดยโครงการดังกล่าวอ้างว่าต้องการพัฒนาคุณภาพครู แต่ในขณะเดียวกันก็บั่นทอนศีลธรรมของครูเหล่านั้น ลดคุณค่าสถานะของวิชาชีพด้านการศึกษา และมุ่งสู่ความเป็นเลิศในการพิชิตข้อสอบวัดระดับซึ่งเป็นระบบการทดสอบที่รังแต่จะสร้างความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยและคนจน ซึ่งแรงกระตุ้นทั้งหมดทั้งมวลในการปฏิรูปก็มาจากสิ่งเดียวนั่นคือ ผลกำไร

ยิ่งสูง ยิ่งรวย ยิ่งเหลื่อมล้ำ

ประชากรสหรัฐที่ร่ำรวยที่สุด ซึ่งมีจำนวนร้อยละ 1 ของประชากรทั้งประเทศ มีการถือครองทรัพย์สินมากกว่าร้อยละ 40 ของมูลค่าทรัพย์สินทั้งหมด และมีรายได้เกือบ 1 ใน 4 ของรายได้ทั้งประเทศ หลักฐานจากแบบยื่นขอคืนภาษีแสดงให้เห็นว่ากลุ่มมหาเศรษฐี 1 เปอร์เซ็นต์เหล่านี้ประกอบไปด้วยผู้บริหารนอกวงการการเงิน ผู้ประกอบอาชีพทางการเงิน นักกฎหมาย เจ้าของกิจการอสังหาริมทรัพย์และผู้ประกอบอาชีพด้านการแพทย์ การที่พวกเขามีรายรับมากถึงขนาดนี้มีความเชื่อมโยงไปถึงการปรับแก้กฎหมายและการผ่อนกฎระเบียบต่างๆ ซึ่งท้ายที่สุดก็นำไปสู่วิกฤติการณ์ทางการเงิน ซึ่งการศึกษาของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดพบว่าขณะที่ประชากรร้อยละ 99 กำลังทนทุกข์อยู่กับผลวิกฤติการณ์นั้น พวกเศรษฐี 1 เปอร์เซ็นต์เหล่านี้ก็ยิ่งร่ำรวยทิ้งห่างคนที่เหลือ โดยเสวยสุขอยู่บนความมั่งคั่งของตนเอง กีดกันคนอื่นๆ ไปไกลมากขึ้น

ภัยจากเทคโนโลยี

ผลการวิจัยเมื่อไม่นานมานี้ชี้ให้เห็นว่าการอุ่นอาหารด้วยคลื่นไมโครเวฟทำให้เกิดอนุมูลอิสระซึ่งอาจเป็นสารก่อมะเร็ง นอกจากนี้การรับประทานอาหารที่ผ่านไมโครเวฟยังเชื่อมโยงกับการลดลงของเม็ดเลือดขาวในระยะเวลาสั้นๆ แต่องค์การอาหารและยาของสหรัฐยังไม่ได้ตระหนักถึงผลการศึกษาที่ระบุว่าเตาไมโครเวฟทำให้โครงสร้างอาหารทางโภชนาการเปลี่ยนแปลงไป ในขณะเดียวกันผลการวิจัยต่างๆ ที่บอกว่าการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ไม่มีอันตรายต่อสุขภาพนั้น ล้วนแล้วแต่มาจากการหนุนหลังของอุตสาหกรรมผลิตโทรศัพท์มือถือนี่เอง

ที่กล่าวมาข้างต้นล้วนแล้วแต่น่าเป็นข่าวสำคัญๆ ทั้งสิ้นแต่ก็น่าแปลกที่ไม่มีการเผยแพร่ในสื่อกระแสหลักเลย ท่านสามารถอ่านข่าวที่เหลือได้ที่เว็บไซต์ waymagazine.org ซึ่งผมขอขอบคุณเจ้าของเว็บไซต์อย่างสูงมา ณ ที่นี้ที่ทำให้ผมได้มีความรู้เพิ่มขึ้น และผมขอถือโอกาสนี้นำมานำเสนอต่อผู้อ่านเพื่อที่ผู้อ่านจะได้เผยแพร่ให้กว้างขวางยิ่งๆ ขึ้นไปครับ