วิกฤติรัฐสภากับศาลรัฐธรรมนูญจะจบอย่างไร

วิกฤติรัฐสภากับศาลรัฐธรรมนูญจะจบอย่างไร

ท่ามกลางสถานการณ์ที่เรียกได้ว่าอยู่ในสภาวะวิกฤติที่สมาชิกรัฐสภาจำนวน 312 คนร่วมกันออกแถลงการณ์

ไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญที่มีมติเสียงข้างมากรับคำร้องการคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่รัฐสภาดำเนินการอยู่ไว้วินิจฉัยตามมาตรา68 ของรัฐธรรมนูญฯ ว่าเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง เพราะเป็นการทำหน้าที่ที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญเสียเอง รวมทั้งขัดต่อการแบ่งแยกอำนาจอธิปไตย 3 ฝ่าย คือ ฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ ซึ่งการเผชิญหน้ากันในครั้งนี้อยู่ในความสนใจของทุกฝ่าย ทั้งฝ่ายนักวิชาการและผู้ที่สนใจสถานการณ์บ้านเมืองว่าจะจบลงอย่างไร

แน่นอนว่ากองเชียร์ของฝ่ายใดก็ล้วนแล้วแต่ให้ความเห็นว่าจะต้องจบลงด้วยชัยชนะของฝ่ายตนเอง โดยฝ่ายแรกอ้างการกระทำของศาลรัฐธรรมนูญนั้นเป็นกระทำที่นอกเหนืออำนาจตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติและอ้างความชอบธรรมจากการเป็นผู้แทนของประชาชนเสียงข้างมาก ส่วนฝ่ายหลังนั้นก็อ้างความชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญมาตรา 216 วรรคห้าว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาลและองค์กรอื่นของรัฐ

เหตุการณ์ต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร

แน่นอนว่าเมื่อฝ่ายรัฐสภาออกมาปฏิเสธอำนาจศาลรัฐธรรมนูญโดยไม่ยอมส่งคำชี้แจงตามคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญแล้วรัฐสภาก็ย่อมที่ดำเนินการต่อไปตามวาระที่ 2 และ 3 ตามลำดับและนำร่างรัฐธรรมนูญที่แก้ไขเพิ่มเติมนั้นขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายตามมาตรา 291(7) ที่ให้นำบทบัญญัติมาตรา 150 และ 151 มาใช้บังคับโดยอนุโลม ซึ่งผู้ที่จะทูลเกล้าฯและรับสนองพระบรมราชโองการในที่นี้ก็คือนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร เรียกว่าทั้งฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารผนึกกำลังกันว่างั้นเถอะ

ในขณะเดียวกันฝ่ายศาลรัฐธรรมนูญก็มีทางเลือกอยู่ 2 ทางคือ วินิจฉัยยกคำร้องเพราะไม่เข้าข่ายล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญนี้หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ เรื่องก็จบเป็นการถอยก้าวเล็กๆ ก้าวหนึ่งของศาลรัฐธรรมนูญ แต่จะให้ถึงขนาดยกเลิกกระบวนพิจารณาไปจำหน่ายคดีเลยนั้นศาลรัฐธรรมนูญคงไม่ทำแน่เพราะคงเป็นการเสียหน้ามากมายพอสมควร

แต่ถ้าเหตุการณ์เป็นไปในทางตรงกันข้าม ผลการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญออกมาว่าเข้าข่ายตามมาตรา 68 โดยสั่งเลิกการกระทำตามมาตรา 68 วรรคสองและหากเลวร้ายไปกว่านั้นโดยศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคการเมืองและให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของหัวหน้าพรรคการเมืองและกรรมการบริหารของพรรคการเมืองที่ถูกยุบในขณะที่กระทำความผิดเป็นระยะเวลาห้าปีตามมาตรา 68 วรรคสามและวรรคสี่ ซึ่งผลทางการเมืองที่ตามมาก็สุดแล้วแต่ว่าคำวินิจฉัยดังกล่าวนี้จะออกมาในช่วงระยะเวลาใด

หากคำวินิจฉัยออกมาหลังทูลเกล้าฯและประกาศร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญออกมาใช้แล้วก็คงไม่มีผลใดๆ เพราะมาตรา 68 ได้ถูกยกเลิกไปแล้ว แต่หากคำวินิจฉัยออกมาก่อนทูลเกล้าฯ แน่นอนว่าย่อมมีผลสะเทือนแน่ เพราะพรรคจะถูกยุบแต่คุณยิ่งลักษณ์ยังเป็นนายกรัฐมนตรีและ ส.ส.อยู่เพราะไม่ได้เป็นกรรมการบริหารพรรคและสามารถหาพรรคใหม่ได้ภายในหกสิบวันและผมเชื่อว่าคงมีพรรคสำรองไว้แล้วและคงสามารถตั้งรัฐมนตรีแทนผู้ที่เป็นกรรมการบริหารพรรคได้ภายในสองสามวัน

รัฐบาลคงไม่เลือกวิธีการที่จะเดินต่อด้วยการยืนยันทูลเกล้าฯเสนอร่างแก้ไขต่อไปตามมาตรา 151 (แม้ว่าจะทำได้) ซึ่งหากพระมหากษัตริย์ไม่ทรงเห็นชอบด้วยและพระราชทานคืนมายังรัฐสภา หรือเมื่อพ้นเก้าสิบวันแล้วมิได้พระราชทานคืนมา รัฐสภาจะต้องปรึกษาร่างแก้ไขฯนั้นใหม่ ถ้ารัฐสภามีมติยืนยันตามเดิมด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนสมาชิกทั้งหมดที่มีอยู่ของทั้งสองสภาแล้วให้นายกรัฐมนตรีนำร่างฯนั้นขึ้นทูลเกล้าฯอีกครั้งหนึ่ง เมื่อมิได้ทรงลงพระปรมาภิไธยพระราชทานคืนมาในสามสิบวัน ให้นายกรัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษาใช้บังคับเสมือนหนึ่งว่าพระมหากษัตริย์ได้ทรงลงพระปรมาภิไธยแล้ว ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดข้างต้นนั้นคงไม่เกิดขึ้นแน่เพราะจะถูกกระหน่ำด้วยข้อหาว่าเป็นการทำให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท แต่รัฐบาลก็จะเลือกวิธีการยุบสภาเพื่อให้ประชาชนตัดสินว่าจะแก้รัฐธรรมนูญตามที่ว่านี้ ประชาชนจะว่าอย่างไร

แล้วจะจบลงอย่างไร

จริงอยู่แม้ว่ารัฐบาลจะเลือกวิธีการยุบสภาเพื่อหาเสียงสนับสนุนที่ถึงจะได้มาอย่างถล่มทลาย แต่ก็ไม่มีผลต่อการดำรงตำแหน่งของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด เพราะการพ้นตำแหน่งของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรา 209 นั้น นอกจากการพ้นตำแหน่งตามวาระแล้วก็พ้นด้วยการตาย /มีอายุครบเจ็ดสิบปีบริบูรณ์/ ลาออก/ ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 205 กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 207/ วุฒิสภามีมติตามมาตรา 274 ให้ถอดถอนออกจากตำแหน่ง /ต้องคำพิพากษาให้จำคุก เป็นต้น แต่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะถูกกดดันอย่างหนักให้ลาออก หากไม่ลาออก รัฐบาลและรัฐสภาก็มีวิธีการเดียวคือการเลือกวิธีการตามมาตรา 153 วรรคสอง โดยลงมติวาระสามของร่างแก้แก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ที่ยังค้างอยู่ก่อนยุบสภายกขึ้นมาให้ความเห็นชอบ แล้วร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ทั้งฉบับ ซึ่งอาจจะมีหรือไม่มีศาลรัฐธรรมนูญต่อไปก็อาจเป็นได้ ก็เป็นอันว่าสิ้นสุดศึกสงครามระหว่างฝ่ายบริหาร รัฐสภากับศาลรัฐธรรมนูญ

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าผลจะออกมาในทางใดล้วนแล้วแต่มีผลกระทบทางการเมืองทั้งสิ้น จะกระทบมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่ว่าวิกฤตินี้จบลงในขั้นตอนไหนเท่านั้นเอง ยิ่งจบช้าเท่าใดก็ยิ่งกระทบมากเท่านั้น หากวิกฤติเดินไปจนถึงที่สุดตามที่ว่าไว้ผลที่เลวร้ายที่จะได้รับก็คือ แม้ว่าฝ่ายบริหารและรัฐสภาจะเป็นฝ่ายชนะในที่สุด การเมืองบนท้องถนนก็จะตามมา ความวุ่นวายจะเกิดมากกว่าครั้งปี 52-53 แต่คงจะไม่มีการกระชับพื้นที่จากทหารจนคนตายเป็นร้อยเหมือนคราวนั้นอีก เพราะมีบทเรียนมาแล้ว แต่คนไทยจะหันมาฆ่ากันเองตายเป็นเบือ สภาพรัฐไทยก็จะตกอยู่ในสภาวะรัฐล้มเหลวหรือล้มละลาย (Failed State) เพราะรัฐไม่สามารถบริหารการปกครองได้อย่างเต็มที่และประชาชนมีความขัดแย้งกันอย่างรุนแรง หรือที่เราเรียกว่า “มิคสัญญี” นั่นเอง

คิดแล้วหนาวขึ้นมาจับขั้วหัวใจเลยทีเดียวเชียว