ทุจริตสอบ....สอบทุจริต

ทุจริตสอบ....สอบทุจริต

หลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมติดตามเรื่องการสอบคัดเลือกบุคคล เพื่อบรรจุในตำแหน่ง “ครูผู้ช่วย” ทั่วประเทศ ด้วยความหดหู่ใจ

เพราะมีรายงานว่าได้เกิดการทุจริตในวงกว้าง และเบื้องต้นคาดว่ามีผู้เข้าสอบที่ทุจริต จำนวนมากถึง 500 คน
การทุจริตครั้งนี้ เป็นข่าวฉาวโฉ่ครั้งล่าสุดที่เกี่ยวกับการสอบคัดเลือก ซึ่งไม่น่าเชื่อว่ากระบวนการทุจริตในเรื่องการสอบไล่ของคนไทยเรา จะพัฒนามาได้ไกลถึงเพียงนี้ คือทำกันเป็นขบวนการใหญ่ และใช้อุปกรณ์ไฮเทค รวมทั้งวิธีการหลากหลาย

เมื่อมีการ “ทุจริตสอบ” ก็เลยต้องมีการ “สอบทุจริต” โดย กระทรวงศึกษาธิการ ได้แถลงว่ามีการทุจริตจริง และได้ส่งเรื่องให้ ดีเอสไอ จนในที่สุดเมื่อวันพุธนี้เอง ดีเอสไอ ก็ได้แถลงว่ามีพยานหลักฐานอันเชื่อได้ว่ามีการทุจริตเกิดขึ้น ใน 4 เขตพื้นที่การศึกษา ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และมีผู้สมัครที่สอบได้คะแนนสูงผิดปกติ จำนวน 486 คน

อธิบดี ดีเอสไอ แถลงต่อว่าผู้ทุจริตใช้วิธีการหลากหลาย เช่น การส่งผู้อื่นเข้าสอบแทน การได้เฉลยข้อสอบก่อนเวลาเข้าสอบ บางรายนำเฉลยข้อสอบเข้าไปในห้องสอบด้วย มีการนำเครื่องมือสื่อสารเข้าไปรับสัญญาณเฉลยข้อสอบ รวมทั้งการจัดผังที่นั่งใหม่เพื่อเอื้อต่อผู้ทุจริต เป็นต้น สรุปได้ว่าเป็นการกระทำกันอย่างเป็นขบวนการใหญ่ ทั้งเจ้าหน้าที่ส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และผู้สอบ ดังนั้น ดีเอสไอ จึงเสนอให้กระทรวงศึกษาธิการ ยกเลิกการสอบ ใน 4 เขตพื้นที่ดังกล่าว

เรื่องการใช้อุปกรณ์ไฮเทค หรือใช้วิธีการต่างๆ ในการทุจริตนั้น ผมถือว่าเป็นเพียงเครื่องมือหรือวิธีการ เท่านั้น แต่ที่ผมสนใจมากกว่า ก็คือพื้นฐานความคิดของผู้สมัคร ซึ่งเป็นผู้ที่กำลังเข้าสู่อาชีพครู รวมทั้งของผู้ที่เป็นผู้บริหารในวงการศึกษา ที่เกี่ยวข้องกับขบวนการทุจริตนี้ น่าคิดว่าการที่พวกเขาร่วมมือกันกระทำการทุจริตในการสอบคัดเลือก มันไม่ขัดแย้งกับจิตสำนึกของความเป็นครูหรือความเป็นผู้บริหารการศึกษาของชาติ บ้างหรือ

หรือว่าพวกเขาคิดเพียงว่า ยังไงก็ต้องเข้าไปเป็นครูผู้ช่วยให้ได้เสียก่อน อย่างอื่นค่อยว่ากันทีหลัง?
ทำให้ผมนึกถึงข่าวฉาวโฉ่ ที่เกิดขึ้นเมื่อกลางปี 2555 เมื่อ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประกาศสอบคัดเลือกตำรวจชั้นประทวน ก็ปรากฏว่ามีการทุจริตสอบเกิดขึ้นในวงกว้างเช่นกัน สำนักงานตำรวจแถลงว่า มีผู้ทุจริตจำนวนถึง 204 ราย และบางรายใช้วิธีที่สังคมอาจคาดไม่ถึง เช่น ติดอุปกรณ์ไฮเทคที่อวัยวะเพศ เพื่อรอสัญญาณสั่น เป็นต้น และถ้าย้อนหลังไปไกลกว่านั้น เมื่อปลายปี 2553 สตช.ก็ยังจับทุจริตการสอบตำรวจชั้นประทวน ที่สอบเลื่อนยศเป็นนายตำรวจสัญญาบัตร ได้จำนวนหนึ่งด้วย

ปีที่แล้ว สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต้องสั่งยกเลิกการสอบ ซึ่งกรณีของครูผู้ช่วยครั้งนี้ ดีเอสไอ ก็เสนอให้มีการสอบใหม่ในสี่เขตพื้นที่ และกระทรวงศึกษาธิการกำลังพิจารณาอยู่ว่าจะสั่งยกเลิกหรือไม่

การสั่งยกเลิกการสอบ เป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่ต้องแยกแยะผู้ทุจริตออกจากผู้สุจริตได้อย่างชัดเจน ถ้าเป็นกรณีคลุมเครือ และยกเลิกการสอบทั้งหมด ก็อาจจะเป็นการลงโทษผู้สุจริตบางคน ซึ่งอุตส่าห์ศึกษา ค้นคว้า และทุ่มเทจนสอบผ่าน แต่กลับต้องได้รับผลกระทบ และถ้าหากโชคร้าย เมื่อสอบครั้งใหม่แล้วไม่ผ่าน พวกเขาจะรู้สึกเช่นใด เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และต้องให้ความยุติธรรมอย่างทั่วถึง

ความจริงทุกอาชีพ ก็มีคนทุจริตแฝงอยู่ ผมจึงไม่ติดใจในเรื่องที่คนที่จะเป็น ครู (บางคน) หรือ ตำรวจ (บางคน) ทุจริต แต่ที่ผมคิดว่าสังคมต้องติดใจอย่างยิ่ง ก็เพราะคนที่คิดจะเป็นครูและตำรวจ “จำนวนมาก” ทุจริตในคราวเดียวกัน
คงต้องถามว่า การที่คนที่จะเข้าสู่อาชีพครู และอาชีพตำรวจ จำนวนมากมายหลายร้อยคน เลือกที่จะใช้วิธีทุจริตในการสอบ ถ้าหากคนเหล่านี้บังเอิญสอบผ่าน “ด่าน” นี้ไปได้ อนาคตพวกเขา จะเป็นครูใหญ่ หรือเป็นนายตำรวจสัญญาบัตร แบบใด หลายคน อาจจะไปตั้ง “ด่าน” ตามความถนัดของตนเองกระมัง เพราะตอนที่เข้ามาได้ ก็เสียเงินทองค่า “ผ่านด่าน” ไปแล้วจำนวนไม่น้อย อย่างนี้ ต้องถือว่าเป็นกรรมของชาติและประชาชนจริงๆ

ระหว่างที่มีข่าวเรื่องครูผู้ช่วย ก็ปรากฏว่า มีเหตุการณ์น่าสนใจเกิดขึ้นที่ รัฐสภา เมื่อสองสัปดาห์ก่อน คือหลังจากที่ได้อภิปรายกันไประยะหนึ่ง ก็มี ส.ส. คนหนึ่งเสนอให้นับองค์ประชุม ปรากฏว่านับได้ 265 คน แต่ ส.ส. บางคนคัดค้านเพราะตัวเลขดังกล่าว ขัดกับสายตาที่เห็น ส.ส. นั่งอยู่บางตาเต็มที พอปิดห้องประชุม และให้เจ้าหน้าที่เดินนับ ก็ปรากฏว่านับได้เพียง 121 คน เท่านั้น ตัวเลขที่แตกต่างกันจำนวนมาก เชื่อกันว่าน่าจะเป็นการ “เสียบบัตร แทนกัน” ซึ่งก็ได้มีการเรียกร้องให้มีการสอบสวนเรื่องนี้

น่าเศร้าใจไหมครับที่พื้นฐานความคิดของคนในสังคมเราเป็นเช่นนี้ ขนาดคนระดับ ส.ส. จำนวนมาก ก็ยังทำในเรื่องตื้นๆเสียด้วย คือเสียบบัตรแทนกัน (ซึ่งหวังว่าจะมีการเปิดเผยผลการสอบสวนให้ประชาชนทราบ อย่างชัดเจน) นอกจากนั้น ประชาชนก็ยังมีสิทธิที่จะถามส.ส.ที่ฝากบัตรไว้ และ ส.ส. ที่กดแทนให้ ว่าท่านคิดได้แค่นี้เองหรือ ถ้าได้เพียงแค่นี้ ประชาชนก็พอจะประเมินได้ว่ามาตรฐานความคิด และวิถีปฏิบัติของท่านในเรื่องสำคัญของชาติ จะเป็นเช่นใด

ถ้าการทุจริต กลายเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนนับร้อย ซึ่งจะเข้าสู่หรืออยู่ใน อาชีพที่มีเกียรติ ก็อย่าหวังว่าชาติไทย จะเป็นชาติที่เจริญได้อย่างยั่งยืน เพราะด้วยจิตสำนึกอย่างนี้ พวกเขาคงมีแนวโน้ม ที่จะโกงมากยิ่งขึ้นไปอีก และการโกงกิน ซึ่งเป็นปัญหาที่อยู่กับสังคมเรามานาน ก็จะไม่มีแนวโน้มว่าจะดีขึ้นได้

น่าเสียใจ ที่คนไทยจำนวนมาก ก็ยังคงเคารพกราบกรานคนโกงกิน ทั้งๆที่รู้อยู่ว่าพวกเขาได้ทรัพย์สิน หรือ ชื่อเสียงมาด้วยวิธีที่ไม่สุจริต แต่ความจริงแล้ว ประชาชนควรทำในสิ่งที่ตรงข้ามจะเหมาะสมกว่า คือ “ไม่เคารพ ไม่ประจบสอพลอ ปล่อยให้ฝ่อไปเอง”

สุดท้ายนี้ ผมขอฝาก “กาพย์ยานี ๑๑” ที่ผมแต่งขึ้น เพื่อบอกความรู้สึกในเรื่องนี้ ครับ.......
จะโกงไปถึงไหน โกงเท่าไรไม่รู้พอ
ตายไปไม่ เหลือหลอ ทรัพย์สินก็ไม่ตามไป
เห็นชัดสัจธรรม ไม่เคยจำไว้ใส่ใจ
เห็นเงินเป็นไม่ได้ ชาติบรรลัย...ไม่ใช่กู

บารมีใช้เงินฟาด ซื้ออำนาจกันพรั่งพรู
พฤติกรรมน่าอดสู คนที่รู้ยังกราบกราน
กราบกรานคนโกงกิน ผง-ฝุ่น-ดินยังร้าวราน
ทั่วไทยสั่นสะท้าน มืดทุกด้านหมองทุกแดน