3G ธุรกิจ...อภินิหาร

3G ธุรกิจ...อภินิหาร

“ธุรกิจ 3G” ในความคิดของผม..น่าจะมีบทบาทภายใน 5 ปีข้างหน้าอย่างสูงต่อวิถีการดำเนินชีวิตของคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศ

ผลที่ตามมาก็คือ รายได้และผลกำไรจำนวนมหาศาลที่จะเกิดขึ้นจากธุรกิจนี้ ความมั่งคั่งดังกล่าวยังจะส่งผลไปยังตัวบริษัทเอง คณะผู้บริหาร ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ และผู้ถือหุ้นรายย่อยในที่สุด ดังนั้นเราในฐานะผู้ถือหุ้นรายย่อย จึงควรจะรีบขวนขวายหาความรู้ว่า “ธุรกิจ 3G” ว่าจะสามารถสร้างรายได้และผลกำไรจำนวนมหาศาลได้อย่างไร? ซึ่งผมพอจะสรุปให้คุณผู้อ่านได้เข้าใจพอสังเขปดังนี้ครับ

หนึ่ง จากค่าสัมปทาน ไปเป็น..ค่าธรรมเนียม ตามมาด้วย..กำไรมหาศาล

การประมูลใบอนุญาตให้บริการ 3G บนคลื่นความถี่ 2.1GHz ที่จัดขึ้นโดย กสทช.นั้น ได้กำหนดค่าธรรมเนียมและระยะเวลาไว้แล้วนั่นคือ ค่าธรรมเนียมจะเท่าเทียมกันในระยะเวลาของใบอนุญาตการให้บริการอยู่ที่ 15 ปี และค่าธรรมเนียมใบอนุญาตรายปีอยู่ราว 5.75% ของรายได้ ซึ่งแตกต่างจากระบบสัมปทานเดิมที่ผู้ประกอบการได้รับระยะเวลาสัมปทาน และค่าสัมปทานรายปีที่แตกต่างกัน

สิ่งที่จะตามมาก็คือ บรรดาผู้ให้บริการ 3G ทั้งสามรายคงพยายามที่จะถ่ายโอนลูกค้าจากระบบ 2G เดิม ซึ่งมีต้นทุนในการจ่ายส่วนแบ่งรายได้สัมปทานราว 25-30% ตามสัญญาสัมปทานของแต่ละค่าย ไปสู่ระบบ 3G ใหม่ซึ่งจะเสียค่าธรรมเนียมใบอนุญาตจากรายได้อยู่ราว 5.75% เท่านั้น

สอง จำนวนเครื่องโทรศัพท์มือถือแบบสมาร์ทโฟน ..ยังโตได้อีกมาก

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ประเมินจำนวนเครื่องโทรศัพท์ประเภทสมาร์ทโฟนที่จะมีการใช้งานภายใต้กรณีที่มีการเปิดบริการ 3G ในช่วงครึ่งแรกของปี 2556 พบว่า จำนวนเครื่องโทรศัพท์มือถือถูกจำหน่ายในปี 2556 ไปราว 17.8 ล้านเครื่อง ขยายตัวราว 30% จากปี 2555 ที่คาดว่าจะมีจำนวนเครื่องถูกจำหน่ายไปราว 13.7 ล้านเครื่อง และขยายตัวเพียง 14.2%

แต่ที่สำคัญคือ ปี 2556 จะมีจำนวนเครื่องที่รองรับ 3G คิดเป็นสัดส่วนราว 45.5% ของจำนวนเครื่องที่คาดว่าจะถูกจำหน่ายทั้งหมด เทียบกับปี 2555 ที่อยู่ราว 32.8% ของโทรศัพท์มือถือทั้งหมดที่ถูกจำหน่าย นั่นแสดงถึง..ความต้องการสมาร์ทโฟนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สาม แทบเล็ต ป.1 กำลังจะกลายเป็น “แทบเล็ตเยาวชนไทย”

จากนโยบายของรัฐบาลที่จะแจกเครื่องแทบเล็ตให้แก่นักเรียนทุกคนโดยเริ่มจาก ชั้นป.1 และ ม.1 ก่อน พูดง่ายๆ ว่า... เดิมทีหลายคนมักจะเรียกแทบเล็ตที่รัฐบาลแจกว่า “แทบเล็ต ป.1” นั้น มันกำลังจะกลายเป็น “แทบเล็ตนักเรียนไทย” นั่นหมายถึง นักเรียนในประเทศไทยจะมีแทบเล็ตให้ใช้กัน..เกือบทุกคน โดยคาดว่าภายใน 5-6 ปีนับจากนี้ จะมีนักเรียนไทยตั้งแต่ ป.1 ถึง ม.6 มีแทบเล็ตใช้ไม่ต่ำกว่า 10 ล้านคน

สิ่งที่ผมคิดว่าจะเกิดขึ้นก็คือ บรรดาเด็กไทยทั้งหลายที่ได้รับเครื่องแทบเล็ตไปแล้ว เมื่อกลับถึงบ้านก็คงคิดอยากที่จะเข้าอินเทอร์เน็ตเพื่อศึกษาหาความรู้ (อาจมี..เล่นเกมบ้าง) ซึ่งการที่จะรออินเทอร์เน็ตชนิดมีสาย (Land Lines) โดยผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตตามบ้านจะต้องลากสายยาวมากเพื่อไปให้บริการนั้น..แทบจะเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นบรรดาพ่อแม่ที่อยากให้ลูกๆ ได้เข้าอินเทอร์เน็ตผ่านทางแทบเล็ตที่รัฐบาลแจกให้ ก็คงต้องใช้ระบบ 3G โดยทำให้สมาร์ทโฟนที่ซื้อมาเปลี่ยนไปเป็นฮ็อทสปอต (Hotspot) จากนั้นจึงกระจายสัญญาณไวไฟ (WiFi) ส่งต่อไปยังแทบเล็ตเพื่อให้ลูกๆ ต่อเข้าอินเทอร์เน็ตได้ต่อไป

สี่ คนไทย... “จ้าวแห่ง...โซเชียลมีเดีย”

คุณผู้อ่านรู้ไหมครับ? เมืองไหนในโลกนี้ที่มีคนใช้เฟซบุ๊คมากที่สุดในโลก ใช่แล้วครับ.. กรุงเทพมหานคร โดยสถิติคร่าวๆ จากเว็บไซต์ http://www.socialbakers.com/facebook-statistics/cities ของวันที่ 31 มกราคมที่ผ่านมาพบว่า กรุงเทพมหานครมีผู้ใช้เฟซบุ๊คประมาณ 12.79 ล้านคน เป็นอันดับหนึ่งของโลก โดยมีจาการ์ตา เมืองหลวงของอินโดนีเซียตามมาเป็นอันดับที่สองที่ 11.65 ล้านคน สำหรับคุณผู้อ่านที่ชอบเล่นเฟซบุ๊คอยู่แล้ว คงทราบดีว่า การเล่นเฟซบุ๊ค..เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ และนั่นหมายถึง การเข้าสังคมของคนรุ่นใหม่ ดังนั้นหากใครไม่สามารถเข้าเฟซบุ๊คผ่านโทรศัพท์มือถือได้แล้ว ก็อาจทำให้ล้าหลังเพื่อนๆ..ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายคน..ทนไม่ได้

นอกจากนั้นโปรแกรม “LINE” ที่เป็นหนึ่งในโปรแกรมในสังคมออนไลน์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดซึ่งพบว่า ประเทศไทยครองอันดับ 3 ของโลกจากจำนวนผู้ใช้ LINE เป็นรองประเทศญี่ปุ่น และไต้หวัน แต่หากเทียบอัตราการเข้าใช้งานนั้น ประเทศไทยมีค่าเฉลี่ยการเข้ามาใช้งานอย่างน้อย 1 ครั้งใน 24 ชั่วโมง ถือว่ามากเป็นอันดับ 1 ของโลก หรือเป็นอันดับ 1 ของประเทศที่มีผู้ใช้บ่อยที่สุดในโลกนั่นเอง โดยพบว่าประเทศไทยมีอัตราผู้ใช้ LINE กว่า 10 ล้านคน เติบโตกว่า 1,150% เมื่อเทียบกับช่วงเดือนมกราคมปี 2555 ซึ่งในเวลานั้นยังมีผู้ใช้ไม่ถึง 1 ล้านคน

และนั่นคือ “3G ธุรกิจ...อภินิหาร” แล้วคุณผู้อ่านล่ะครับจะรอไปเรื่อยๆ หรือจะรีบเตรียมตัวเพื่อรับมือกับโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงขึ้นในเร็ววันนี้ ทำให้นึกถึงคำพูดของประธานาธิบดีชื่อก้องโลกของสหรัฐอเมริกา บารัก โอบามา (Barack Obama) ที่พูดไว้ว่า “Change will not come if we wait for some other person or some other time. We are the ones we've been waiting for. We are the change that we seek.” แปลตามความได้ว่า “การเปลี่ยนแปลงจะไม่เกิดขึ้น ถ้าเรามัวแต่..รอคนอื่น หรือ..รอเวลา เรานั่นแหละคือ คนที่..ตัวเราเองกำลังรออยู่ และเรานั่นแหละ..จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง”