พลาดอย่างมีเครดิต

พลาดอย่างมีเครดิต

นักปราชญ์ตั้งแต่ยุคโบราณกาลท่านหนึ่งกล่าวไว้ในทำนองที่ว่าคุณภาพของงานของใครสักคนหนึ่งมาจากนิสัยที่คนนั้นแสดงออกให้ผู้คนได้ประจักษ์

คุณภาพไม่ได้มาจากสิ่งที่คนนั้นบอกว่าเขาเป็น แต่อยู่ที่การประพฤติปฏิบัติให้ผู้คนได้เห็นอยู่เป็นประจำ ถ้าทำงานผิดซ้ำซาก แต่พร่ำบอกว่าได้ทำดีที่สุดแล้ว แต่เป็นเหตุสุดวิสัยบ้าง เป็นความบกพร่องของคอมพิวเตอร์บ้าง คนจะพากันบอกว่าทำงานด้อยคุณภาพแต่อยากให้คนเชื่อว่างานของฉันมีคุณภาพ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่มีใครที่ทำงานทุกงานได้คุณภาพ ทำงานโดยปราศจากความผิดพลาด ไม่มีปุถุชนคนใดที่ถูกต้องโดยตลอด ประเด็นคือทำไมบางคนผิดพลาดแล้วคนเชื่อว่าสุดวิสัย ทำไมบางคนผิดพลาดนิดเดียว ผู้คนก็ว่าทำงานด้อยคุณภาพเสียแล้ว

ถ้าเชื่อนักปราชญ์ที่ได้กล่าวถ้อยคำนี้ไว้ ใครก็ตามที่อยากให้คนเชื่อเวลาที่งานการผิดพลาดไปนั้นต้องสร้างนิสัยการทำงานที่ส่อให้เห็นคุณภาพให้คนอื่นได้เห็นเป็นประจำให้ได้ ต้องทำเป็นนิสัยไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็แล้วแต่ ถ้าแสร้งทำไม่นานวันก็หลุดอาการไร้คุณภาพมาให้เห็น คนเห็นความไม่มีคุณภาพในงานของเราสักครั้งสองครั้ง เครดิตในด้านคุณภาพของเราก็หดหายไปหมด เครดิตด้านคุณภาพสร้างให้คนอื่นเชื่อได้ยาก แต่ทำลายให้หมดไปได้ง่าย หนทางเดียวที่จะรักษาเครดิตความน่าเชื่อถือว่าเราทำงานโดยเน้นคุณภาพไว้ได้คือทำให้เป็นนิสัย โดยเริ่มต้นจากการลดนิสัย “ไม่เป็นไร” ในการทำงานให้มากที่สุด ผิดเล็กผิดน้อยแม้ไม่กระเทือนผลผลิตแต่หมายถึงการไม่มีนิสัยที่ใส่ใจคุณภาพ พิมพ์ผิดตัวสองตัวในหนึ่งหน้า ถ้าวันนี้บอกว่าไม่เป็นไร วันหน้าถ้ามีอะไรผิดที่เกิดขึ้นอย่างสุดวิสัย คนที่เคยเห็นอาการไม่เป็นไรกับคุณภาพของงานของเราเป็นประจำจะไม่ยอมเชื่อว่าผิดพลาดเพราะสุดวิสัย หากอยากให้คนเชื่อเครดิตว่าทำดีที่สุดแล้วแต่เกิดความผิดพลาดที่อยู่เหนือการควบคุมจริงๆ ต้องลดละอาการไม่เป็นไรกับงานการของเรา โดยเฉพาะงานที่คนอื่นเห็นได้ง่ายให้เหลือน้อยที่สุด อาการไม่เป็นไรในการใช้รถใช้ถนนเป็นต้นเหตุหนึ่งที่ทำให้บ้านเรามีคนเจ็บคนตายจากอุบัติเหตุจากการจราจรมากมายทุกปี ในแทบทุกเทศกาล ขับรถย้อนทิศทางไม่กี่สิบเมตร ไม่เป็นไรน่า วันหน้าหนึ่งร้อยเมตรก็ไม่เป็นไรเหมือนกัน จนวันหนึ่งก็เจออุบัติเหตุเจ็บตายกันเพราะเริ่มจากอาการนิดหน่อยไม่เป็นไรนี่แหละ

การบอกกล่าวผลงานที่เราทำได้หรือจะทำในวันหน้าก็ต้องคำนึงถึงประเด็นคุณภาพไว้เสมอ ต้องทำให้เป็นนิสัยว่าเราจะบอกกล่าวงานที่เราทำแล้วหรือจะทำให้ชัดเจน งานไหนทำแล้ว งานไหนจะทำต้องบอกให้ชัด ถ้าบอกปะปนกันไปหมดระหว่างทำแล้วกับจะทำ คนฟังไปเดาเอาเองว่าเสร็จแล้วทั้งหมด แต่พบภายหลังว่ายังไม่ได้ทำ คราวต่อไปบอกว่างานนี้ทำไม่เสร็จเพราะเหตุสุดวิสัย คนก็ไม่เชื่อเพราะเราหมดเครดิตในเรื่องความสำเร็จของงานไปตั้งแต่ที่เขาคิดไปเองว่าเราบอกว่างานที่ยังไม่ได้ทำเสร็จแล้วนั่นเอง นอกจากต้องแยกแยะชัดเจนว่าอะไรเสร็จแล้ว อะไรกำลังทำอยู่ ยังต้องบอกผลงานที่ทำเสร็จให้เป็นไปตามจริง ผลงานดีแค่ไหนก็บอกไปตามนั้น โดยข้อมูลผลการทำงานจะช่วยในเรื่องนี้ได้มาก อย่าบอกแค่ว่างานเสร็จแล้ว ให้บอกว่าเสร็จกี่งาน ใช้เวลาแต่ละงานมากแค่ไหน ใช้เครื่องมืออะไรบ้าง ใช้วัสดุอะไรบ้าง บอกข้อมูลที่บ่งชี้ความสำเร็จของงานไว้เป็นประจำ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะช่วยเป็นพยานให้กับเราได้เป็นอย่างดีในยามที่ต้องพบอุปสรรคที่สุดวิสัยจริงๆ บอกกล่าวความสำเร็จของงานตามคุณภาพงานที่ได้จริง อย่าเติมความรู้สึกเข้าไปด้วยเด็ดขาด งานนั้นอาจเป็นงานยากเย็นที่ต้องใช้ความพยายามมากมายกว่างานจะเสร็จ ก็บอกไปว่างานเสร็จโดยใช้เวลาแค่ไหน ไม่ต้องบอกว่างานนี้ยากมากเลยเสร็จช้าหน่อย ถ้าเราเติมความรู้สึกของเราบ่อยๆ จนเป็นนิสัย สิ่งที่เราบอกกล่าวเกี่ยวกับงานของเราจะกลายเป็นผลงานตามความรู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆ และสิ่งที่เรารู้สึกกับสิ่งที่คนอื่นรู้สึกนั้นไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน น่าเชื่อหรือไม่น่าเชื่อขึ้นอยู่กับการบอกกล่าวผลงานของเราที่ผ่านมาว่าใกล้เคียงความจริง คือมีข้อมูลยืนยันตรงกับที่เราบอกกล่าวมากน้อยแค่ไหน อย่าใช้วาทะคนขายของในการบอกกล่าวงานของเราให้ผู้บริหารได้ทราบเด็ดขาด วาทะคนขายของเก็บไว้ใช้ตอนขายของเท่านั้น

การทำงานโดยทั่วไปแล้วต้องเกี่ยวพันกับคนอื่น ให้เริ่มต้นด้วยการคิดว่าคนอื่นไม่ได้หวังร้ายกับตัวเราหรืองานของเรา คนอื่นก็เป็นส่วนหนึ่งของงานของหน่วยงาน ถ้ามองกันในแง่ดีไว้ก่อน ต่างคนต่างมีเครดิตในสายตาของอีกคนหนึ่ง ทำงานด้วยกันก็ไม่ยาก งานไหนเกินกำลังจริงๆ ต้องขอแรงกันบ้างก็ไม่ใช่เรื่องยากเช่นกัน แต่ถ้าเริ่มต้นด้วยการมองทุกคนในห่วงโซ่ของงานนั้นเป็นคนที่หวังร้ายกับเราไปหมด คราวนี้เขาเชื่อที่เราบอก เราก็ไม่เชื่อว่าเขาเชื่อจริง จนคิดไปไกลว่าเขาวางกับดักอะไรอยู่ ถ้าท่านใดทำงานที่เป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่ของงานใหญ่อีกงานหนึ่ง แล้วคิดว่ารอบวงมีแต่คนที่เกลียดเรา มีแต่คนที่ไร้ฝีมือ มีแต่คนที่ไม่น่าเชื่อถือ ขอให้เปลี่ยนไปหางานอื่นทำโดยเร็ว เพราะยิ่งทำจะยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ ทั้งเขาทั้งเรา แต่ถ้าเปลี่ยนงานไม่ได้ก็ต้องเริ่มมองใหม่ทีละคนสองคน มองหาความน่าเชื่อถือของคนที่เราต้องทำงานด้วยให้เจอให้ได้สักเรื่องสองเรื่อง ลองเปลี่ยนความเชื่อพื้นฐานเกี่ยวกับคนนั้นดูสักหน่อย คนที่เราไม่เคยเชื่อนั้นอาจไม่ได้ไม่น่าเชื่อถืออย่างที่เราเคยคิดก็ได้ ทั้งนี้ปรากฏอยู่เป็นประจำในไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ว่าผู้คนมองกันในทางไม่ดีเพียงเพราะมีความคิดทางการเมืองไม่เหมือนกัน แล้วนำความคิดทางการเมืองที่ไม่เหมือนกันนั้นมาจำแนกแยกแยะคนที่ต้องทำงานด้วยกันว่าคนไหนเชื่อได้ คนไหนเชื่อไม่ได้ในเรื่องงานการไปด้วย ดังนั้น ต้องเปลี่ยนนิสัยการทำงานกันสักหน่อยว่ามาทำงานด้วยกัน ไม่ใช่มาเล่นการเมืองกัน ระลึกไว้เสมอว่าเราเป็นแค่กองเชียร์ในเรื่องการเมือง ใครแพ้ใครชนะ เราก็เป็นแค่กองเชียร์อยู่ดี หากต้องการให้เป็นที่น่าเชื่อถือในเรื่องการงาน อย่าแยกแยะคนด้วยความเชื่อทางการเมืองเด็ดขาด