ถึงวัยแก่เฒ่า กลับต้องเข้าคุก

ถึงวัยแก่เฒ่า กลับต้องเข้าคุก

ฮือฮาไปทั่วไทย เมื่อผู้ชายวัย 76 ปี อดีตกำนันชื่อดังแห่งชลบุรีถูกตำรวจจับได้ที่ด่านลาดกระบัง

และนำตัวมาลงโทษ เพื่อให้จำคุกตามคำพิพากษา หลังจากที่หลบหนีมาเป็นเวลานานถึง 7 ปี
อดีตกำนันคนดัง บารมีกว้างขวาง อยู่ในสภาพที่อ่อนแอ โรคภัยรุมเร้า ต้องเข้าห้องไอซียู และเป็นข่าวจนถึงทุกวันนี้ เมื่อเห็นสภาพร่างกาย และบวกโทษจำคุกเกินกว่า 20ปีแล้วก็ไม่รู้เหมือนกันว่าละครชีวิตเรื่องนี้จะดำเนินต่อไปเช่นใด

ที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ ไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องราวของกำนัน แต่เป็นเรื่องของชายอาวุโสอีกคนหนึ่งซึ่งกำลังตกอยู่ในสภาวะที่คล้ายคลึงกันแม้จะอายุน้อยกว่าคือ 64 ปี แต่เขาก็อยู่ในสภาพโรคภัยรุมเร้า และถูกศาลพิพากษาให้จำคุกเช่นกัน คำพิพากษาดังกล่าว เกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้วนี่เองซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เราอ่านข่าวพาดหัว เรื่องการจับกุมกำนันคนดังนั่นแหละ

ผู้ชายคนนี้มีชื่อว่า นายวาเซนดอฟเขาเป็นผู้ก่อตั้งและซีอีโอของกลุ่มธุรกิจการเงินชื่อดัง“Peregrine Financial Group”เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง มีชีวิตที่หรูหรา และเป็นบุคคลที่มี “ราคา” ในสังคม เพราะกลุ่มบริษัท เพเรกรีน ของเขามั่นคง และตัวเขาเองบริจาคเงินเพื่อกิจกรรมสังคมตลอดเวลา

เวลาผ่านไปนานถึง 20 ปี จนกระทั่งเดือนกุมภาพันธ์2010 บริษัทรายงานว่ามีเงินของลูกค้าอยู่ในบัญชีธนาคาร กว่า200 ล้านดอลลาร์ แต่ข่าวคราวก็เริ่มแพร่งพรายออกมาว่า บริษัทมีปัญหา และเมื่อถูกตรวจสอบในเวลาต่อมา ก็พบว่าบริษัทมีเงินของลูกค้าอยู่ในธนาคารจริงๆเพียง 5 ล้านเหรียญเท่านั้น

การสอบสวนพบว่าเขาได้ใช้เวลาสองทศวรรษที่ผ่านมา หลอกลวงลูกค้าจำนวน13,000 ราย ด้วยวิธีที่ง่ายและใช้อุปกรณ์เพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้น ซึ่งเมื่อความจริงปรากฏขึ้น เงินทองของลูกค้าที่เชื่อถือศรัทธาในตัวเขา ก็สูญหายไปมากมาย

นายวาเซนดอฟ ใช้อุปกรณ์เพียง 3-4 ชิ้น เท่านั้นคือการเช่าตู้ไปรษณีย์ แล้วใช้เครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ต และโฟโต้ช้อป เพื่อพิมพ์แบงค์สเตทเม้นท์ (ฉบับปลอม) ขึ้นมาอย่างเหมือนจริง แล้วส่งให้แก่ลูกค้าอย่างสม่ำเสมอลูกค้าที่ได้รับ ก็เข้าใจจากสเตทเม้นท์เหล่านั้นตลอดมาว่าเงินของพวกเขาที่เกิดจากการลงทุนผ่านบริษัทเพเรกรีน นั้น อยู่ในธนาคารและงอกเงยเป็นอย่างดี จนกระทั่งบริษัทเพเรกรีน ล้มลงเมื่อกลางปีที่แล้ว ความจริงอันเจ็บปวดจึงปรากฏขึ้นแก่ลูกค้ากว่าหมื่นคน

ศาลพิพากษาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ให้จำคุกเขาเป็นเวลานานถึง 50 ปี ซึ่งเมื่อรวมความเป็นไปได้ที่เขาอาจจะได้ลดโทษในอนาคตแล้ว อย่างเร็วที่สุด เขาก็จะได้ออกจากคุกเมื่ออายุ 106 ปี

นายวาเซนดอฟ ร่างกายออดแอด เมื่อสองปีก่อนตอนที่ถูกจับได้ เขาพยายามฆ่าตัวตายเพื่อหนีปัญหา ด้วยวิธีนั่งในรถยนต์แล้วต่อท่อไอเสียเข้ามาในรถ แต่มีผู้พบเห็นและช่วยชีวิตเขาได้ทัน วันนี้แพทย์กำลังสันนิษฐานว่าเขาอาจจะเป็นโรคมะเร็ง แต่เขากลับจะต้องเดินเข้าคุก ในสภาพร่างกายที่ย่ำแย่เช่นนี้ และต้องอยู่ในคุกอีกเป็นเวลานานแสนนาน

นายวาเซนดอฟ รับฟังคำพิพากษา และยอมรับผิดทุกประการ ว่าเขาได้นำเงินของลูกค้า นับร้อยล้านเหรียญ ไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว ยอมรับว่าเขาโกหกต่อเจ้าหน้าที่ โกหกต่อพนักงาน และ โกหกต่อสมาชิกในครอบครัว เขากล่าวด้วยเสียงอันอ่อนแอและแผ่วเบาว่า “ผมสมควรได้รับโทษ จากการกระทำที่มีผลรุนแรง ต่อฐานะการเงินและจิตใจ ของผู้คนจำนวนมาก เช่นนี้”

ละครชีวิตของชายอาวุโสสองคน ซึ่งไม่รู้จักกัน และอยู่ห่างกันครึ่งโลก จะดำเนินฉากต่อไป เหมือนกันหรือต่างกันอย่างไรคงต้องติดตามตอนต่อไป

เล่าถึงตอนนี้เลยทำให้ผมนึกถึงชายอาวุโส ระดับไฮโซของโลกอีกคนหนึ่งขึ้นมาทันที เขาคือนายเบอร์นาร์ด เมดอฟ วัย 75 ปีเจ้าของแชร์ลูกโซ่บันลือโลกซึ่งเมื่อปี 2009 ศาลลงโทษจำคุกเขาเป็นเวลา 150 ปี ในฐานะที่เขาหลอกลวงนักลงทุนทั่วโลก จนกระทั่งนักลงทุนบางคนถึงกับฆ่าตัวตายเพราะสูญเสียทุกอย่างที่เก็บออมไว้ วันนี้ เมดอฟ ในวัย 75 ปีกำลังชดใช้กรรมอยู่ในคุก โปรดคำนวณกันเองก็แล้วกันว่าอายุขนาดนี้ เมื่อรวมโทษอีก150 ปีแล้ว เขาจะพ้นคุกออกมา เมื่ออายุเท่าใด

ประธานาธิบดีลินคอล์น ได้กล่าวไว้ว่า “ท่านอาจจะโกหกคนบางคนได้ตลอดเวลา ท่านอาจจะโกหกคนทุกคนได้ในบางเวลา แต่ท่านไม่อาจโกหกคนทุกคนได้ตลอดเวลา”เรื่องราวของ วาเซนดอฟ และ เมดอฟ ทำให้เห็นชัดเจนว่า ลินคอล์น พูดไว้ไม่ผิด

แต่ถ้ามองแบบชาวพุทธ ผมก็อยากจะกล่าวว่าละครแห่งชีวิตของวาเซนดอฟ และ เมดอฟ ผู้อาวุโสทั้งสองคน ซึ่งได้ก่อกรรมทำเข็ญไว้กับคนสุจริตจำนวนมากย่อมเป็นบทพิสูจน์ว่ากรรมมีจริง การชดใช้กรรมก็มีจริง และการสิ้นสุดแห่งเกียรติยศและศักดิ์ศรีอันสูงส่ง ก็มีจริง

ใครทำอะไรไม่ดีไว้กับผู้คนจำนวนมาก หรือกับชาติบ้านเมือง และจนวันนี้ก็ยังไม่เชื่อเรื่องกรรมและการชดใช้กรรมก็แล้วไป.....
ขอให้ภาวนาให้โชคยังเข้าข้างท่านตลอดไป.....ก็แล้วกัน