“ไม่มีเวลา” คำที่ CEO ชอบพูด

“ไม่มีเวลา” คำที่ CEO ชอบพูด

ตอนเรียน มีแรง มีเวลา แต่ไม่มีเงิน ตอนทำงาน มีเงิน มีแรง แต่ไม่มีเวลา ตอนเกษียณ มีเวลา มีเงิน แต่ไม่มีแรง

ในงานเลี้ยงปีใหม่ที่สนุกสนานรื่นเริงบันเทิงใจ และได้เห็นพนักงานแต่งแฟนซีเป็นสิงสาราสัตว์ ทั้งเสือ ม้าลาย เก้งกวาง นางไม้ บ้างใส่หน้ากาก สวมหัวสัตว์นานาชนิด ด้วยบรรยากาศป่าอเมซอน ติดตามด้วยการประกวดร้องเพลงแบบ The Voice ที่กำลังฮิตๆ กันอยู่ คั่นรายการด้วยการจับฉลากรางวัลใหญ่เล็กสลับกับการแสดงบนเวที ซึ่งในใจผมได้แต่คิดว่า “แย่ละ ถ้าไม่มีเวลา และตัดสินใจไม่มาตั้งแต่แรก คงจะไม่ได้เห็นอะไรดีดีแบบนี้”


ถ้าจะให้ลำดับความสำคัญของงานที่ CEO ต้องทำ ผมคงจัดลำดับงานเลี้ยงฉลองเป็นงานสุดท้าย หลายครั้งในหลายๆ ปีที่ผ่านมา ผมก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการจัดงานปีใหม่ คือเห็นเป็นเรื่องรองๆ เพราะข้างหน้ายังมีงานที่ท้าทายให้แก้ไขหรือให้ได้หยิบฉวยโอกาสที่น่าสนใจและน่าเอาใจใส่มากกว่า


แต่งานเลี้ยงปีใหม่ของสำนักงานใหญ่ที่เพิ่งผ่านไป ผมได้เห็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของลูกน้องทุกๆ คน และทำให้ผมรู้สึกผิดกับความคิดและการกระทำที่ไม่ได้ไปร่วมงานปีใหม่ของโรงงานของเราทั้งห้าแห่ง เพราะผมเลือกไปนัดอื่นๆ ด้วยเห็นว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมากยิ่งกว่า เช่น นัดไปฟังสัมมนาหาความรู้เพิ่มเติม นัดกับลูกค้า คู่ค้า บนโต๊ะอาหาร ฯลฯ อีกทั้งยังเฝ้าคิดแต่ว่า บริษัทอื่นๆในอุตสาหกรรมเดียวกัน ต่างก็ทยอยปิดตัว ภาพข่าว รายงานข่าวที่เห็นในช่วงหลังปีใหม่ก็มีแต่โรงงานเย็บเสื้อผ้าที่ปิดตัว เจ้าของกิจการนั่งหน้าเศร้าหมองผ่านหน้าจอทีวี พนักงานนัดกันชุมนุมถือป้าย
สิ้นหวังบ้างก็ร้องไห้ เพราะไม่มีงานทำ นโยบาย 300 ร้อยบาทที่ส่งผลกระทบกับเพื่อนๆที่ทำกิจการส่งออกด้วยกัน ทำให้ผมไม่มีใจจะไปร่วมงานเลี้ยงปีใหม่แม้แต่น้อย


เมื่อถึงเวลาขึ้นเวทีเพื่อกล่าวเปิดงาน ผมรู้สึกว่า ผมได้รับกำลังใจจากลูกน้องทั้งบริษัท หันหน้าตรงไหนก็เห็นแต่ความสุขสนุกสนาน และทำให้คิดถึงความเหนื่อยยากในรอบปีที่ผ่านมา พนักงานคนนี้ก็สำคัญ คนนั้นก็สำคัญ ถ้าไม่มีคนนี้ เหตุการณ์ในวันนั้นคงแย่ ถ้าไม่ใช่แนวคิดของคนนี้ วันนี้คงไม่มีสินค้าใหม่ๆ มาขาย ถ้าไม่ใช่คนนี้ งานอีกหลายชิ้นคงหยุดอยู่กับที่ เลยได้กล่าวบนเวทีว่า “ในสถานการณ์ที่หลายๆโรงงานการ์เม้นท์ปิดตัวไป เราเองยังโชคดีที่ยังสามารถมาจัดงานเลี้ยงปีใหม่กันได้ ทั้งนี้ก็เนื่องจากความสามารถ ความพร้อมใจของพวกเราทุกคน หลายคนต้องปรับเปลี่ยนตัวเองให้ทำงานมากขึ้น ทำงานหลากหลายขึ้น จนทำให้บริษัทสามารถลดต้นทุนและเพิ่มยอดขายได้ ถึงแม้ว่า ยอดขายจากการส่งออกจะลดลงอย่างน่าใจหาย แต่พวกเราก็สามารถสร้างยอดขายจาก


แบรนด์ของเราเองขึ้นมาทดแทน และยังเติบโตได้ติดต่อกันมาทุกๆ ปี ความสำเร็จที่เกิดขึ้นในสถานการณ์แวดล้อมที่ยากลำบากนี้ ไม่ได้สำเร็จจากคนใดคนหนึ่ง แต่เกิดจากทุกคนในที่นี้และที่โรงงาน วันนี้ผมต้องขอขอบคุณทุกๆ คนและวันนี้เราจะเลี้ยงฉลองกันอย่างสนุกสนาน ”


สูตรสำเร็จ ด้วยการชื่นชมผลงานลูกน้อง ที่มีกูรูหลายท่านและหนังสือหลายเล่มแนะนำไว้ ที่ผ่านมาผมไม่ค่อยเชื่อถือเท่าไร เพราะชอบคิดว่า “ไม่มีเวลา”


ที่ผ่านมาก็ให้จัดรายไตรมาส ครึ่งทางแห่งความสำเร็จ หรือเป็นการฉลองปิด Project ด้วยการจัดเลี้ยงเล็กๆง่ายๆ เปิดแชมเปญ ตัดเค้ก ตลอดจนการเลี้ยงใหญ่ ให้เป็นกำลังใจ เป็นการตอบแทน เป็นการแสดงน้ำใจ เป็นการให้ Reward กับลูกน้องและตัวเอง


แต่จากงานปีใหม่ในปีนี้เป็นต้นไปผมคงต้องระวังคำพูดที่ชอบหลุดปากออกมาก่อนเสมอว่า “ไม่มีเวลา” โดยมิได้คำนึงว่า การจัดงานชื่นชมผลงาน ก็คือ งานที่สำคัญอย่างหนึ่งในหน้าที่ที่ควรทำด้วยใจจริงและมีความอยากที่จะทำ งานวันนี้ทำให้ผมรู้สึกได้ว่า ผมได้รับกำลังใจจากลูกน้อง แทนที่ผมจะเป็นผู้ให้ในฐานะที่เป็นผู้นำ ช่างน่าละอายเสียจริง


กลับมาที่บ้านผมได้ถ่ายทอดความรู้สึกในใจนี้ให้ลูกวัยรุ่นของผมฟัง ลูกไม่ตอบอะไร แต่หยิบมือถือเปิดภาพที่ได้รับจากการส่งต่อกันทาง FaceBook ยื่นให้ผมดู ในภาพเป็นคำบรรยายที่เขียนไว้ว่า “ตอนเรียน มีแรง มีเวลา แต่ไม่มีเงิน ตอนทำงาน มีเงิน มีแรง แต่ไม่มีเวลา ตอนเกษียณ มีเวลา มีเงิน แต่ไม่มีแรง”


อ่านแล้ว ผมก็งง ไม่เห็นจะเกี่ยวกันกับเรื่องที่พ่อเล่า แต่ลูกก็บอกว่า “ก็ไม่มีเวลาไง พ่อก็ชอบพูดคำๆ นี้กับผมอยู่เรื่อย โดยที่พ่อไม่รู้ตัว” ลูกยังเล่าต่อว่า เพื่อนคนหนึ่งของเขาเคยบ่นน้อยใจให้ฟังว่า “พ่อเธอนี่ดีนะ คอยโทรถามเรื่อยๆ ว่า อยู่ที่ไหน กินข้าวหรือยัง ทำอะไรอยู่ เมื่อไรจะกลับ แต่เชื่อไหม พ่อเราไม่เคยโทรตามแบบนี้เลย พ่อให้แต่เงิน อยากได้อะไรก็ใช้รูดการ์ดเอา จะใช้เงินมากแค่ไหน พ่อไม่เคยว่า ซื้อของแพงๆก็ไม่เคยบ่น จะไปเที่ยวไหนกลับกี่โมง พ่อก็ไม่เคยตาม รถที่ขับอยู่ พ่อก็ซื้อให้ แต่พ่อไม่เคยมีเวลาให้เลย ไม่เคยแม้แต่จะโทรถามด้วยซ้ำ”


ผมฟังแล้วสะอึกนิดหน่อย รีบทบทวนตัวเองว่า เราเป็นพ่อแบบนั้นหรือเปล่านะ ลูกย้ำในสิ่งที่เพื่อนพูดว่า “เธอยังโชคดี ที่พ่อเธอคอยโทรตาม ดีกว่าไม่เคยโทรเลย” ฟังจบค่อยชื้นใจขึ้นมาบ้าง แต่ก็หวนถึงลูกน้องที่เราเคยคุยนักคุยหนาว่า รักและดูแลพวกเขาเหมือนลูก ที่ทำงานก็เหมือนบ้าน แต่แท้จริงก็ยังทำไม่ได้ดี และอาจดูแลเขาเหมือนกับพ่อของเพื่อนลูก ผมคงบริหารจัดการกับเวลาไม่ดี เพราะเป็น CEO ที่ไม่ยอมไปมีส่วนร่วมกับพนักงาน บ่อยครั้งที่มอบหมายให้ผู้บริหารในระดับถัดไป ไปจัดการแทน บ่อยครั้งที่ไปพอเป็นพิธีแล้วก็ปลีกตัวไปทำเรื่องอื่นๆ บ่อยครั้งที่ไม่ได้ไปเลย
ตบท้าย เจ้าลูกชายตัวดี ยังสรุปชัดๆ อีกว่า “ใช่ พ่อน่าเบื่อ เจอหน้าก็สอนแต่เรื่องการเรียน นิสัย ชวนอ่านหนังสือ กินของสุขภาพ ไหว้พระ แต่พอชวนไปเที่ยว ไปดูหนัง พ่อก็ชอบพูดว่า ไม่มีเวลาทุกที ผมว่านะพอไปที่ทำงาน พ่อก็เอาแต่เรื่องหลักๆ เรื่องหนักๆ พวกงานเลี้ยงรื่นเริง พ่อก็ไม่ยอมไป น่าเบื่อแทนลูกน้องของพ่อจริง ๆ”


ตกลงวันนี้ ให้ลูกน้องสอนแล้วยังกลับมาโดนลูกสวนอีก !