ใครสุขใครทุกข์ท่ามกลางการขัดแย้ง

ใครสุขใครทุกข์ท่ามกลางการขัดแย้ง

เชื่อกันว่าความขัดแย้งในระดับที่ไม่มากเกินไปจะนำมาซึ่งนวัตกรรมและความก้าวหน้าต่างๆ ได้

หากผู้บริหารมีฝีมือเพียงพอที่จะควบคุมผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้งนั้นไม่ให้บานปลายไปสู่การวิวาทกันระหว่างแต่ละคนที่เกี่ยวข้องกับการขัดแย้งนั้นได้ แต่ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในการทำงานร่วมกันนั้นทำให้ผู้คนมีความสุขในการทำงานน้อยลง เดิมเคยเชื่อกันว่าไม่ว่าคนจะมีอุปนิสัย หรือบุคลิกภาพอย่างใดก็ตาม ความสุขในการทำงานที่ลดลงจากความขัดแย้งจะมีมากน้อยใกล้เคียงกัน ใครทำงานอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งล้วนแต่มีทุกข์มากขึ้นอย่างเท่าเทียมกัน ต่อมามีงานวิจัยงานหนึ่งบอกไว้ว่าคนที่มีบุคลิกภาพแตกต่างกัน จะได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งไม่เหมือนกัน งานวิจัยนี้ช่วยให้ผู้บริหารและเพื่อนร่วมงานทราบว่าแต่ละคนทนความขัดแย้งได้มากน้อยไม่เท่ากัน จากที่เคยเชื่อว่าฉันทุกข์แค่ไหน เธอก็คงทุกข์แค่นั้น เพราะเราเป็นเพื่อนร่วมชะตากรรมจากผลของความขัดแย้งเดียวกัน ความไม่เข้าใจความแตกต่างนี้ได้สร้างความขัดแย้งใหม่ในระหว่างคนทำงาน ซ้อนขึ้นมาอีกชั้นหนึ่งจากความขัดแย้งเดิมที่มีอยู่แล้ว และเป็นความขัดแย้งใหม่ที่แก้ไขได้ยากจากความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนในเรื่องผลกระทบของความขัดแย้งที่เกิดขึ้นกับคนที่มีบุคลิกภาพแตกต่างกัน หลายคนงุนงงว่าทำไมคนบางคนขยันสรรหาเรื่องนั้นเรื่องนี้มาเป็นประเด็นที่จะทำให้เกิดความขัดแย้งใหม่ๆ อยู่เป็นประจำ ใครหนอที่มีสุขได้ท่ามกลางความขัดแย้ง ซึ่งตอบได้ทันทีโดยไม่ต้องอาศัยงานวิจัยว่าคนที่ได้ประโยชน์จากความขัดแย้งนั่นแหละคือคนที่มีความสุขได้จากความขัดแย้งนั้น

ถ้าจำกัดวงอยู่เฉพาะกับคนที่ต้องตกอยู่ท่ามกลางการขัดแย้งโดยไม่ได้มีประโยชน์ใดๆ จากการขัดแย้งแล้ว ปรากฏว่าคนที่เห็นอกเห็นใจคนอื่น คนที่เป็นมิตรกับทุกคน คนที่ยอมรับฟังความคิดความเห็นของคนอื่น เป็นกลุ่มคนที่มีความสุขลดลงมากที่สุดท่ามกลางความขัดแย้ง ระดับดัชนีบ่งชี้ความสุขในการทำงานของคนกลุ่มนี้ต่ำที่สุด เมื่อเทียบกับคนที่มีบุคลิกภาพแบบอื่นในทุกกรณี ไม่ว่าจะมีความขัดแย้งในการทำงานมากขึ้นหรือน้อยลง คนที่ยอมรับฟังความคิดความเห็นของคนอื่นเริ่มมีความสุขน้อยลงในทันทีที่มีความขัดแย้งเกิดขึ้นกับการงานของเขา ขัดแย้งกันน้อยลงก็ไม่ทำให้คนกลุ่มนี้มีความสุขเพิ่มขึ้นมากเท่าใดนัก ทุกข์แบบคงเส้นคงวาท่ามกลางความขัดแย้ง ดังนั้น ถ้าจะเลือกใครที่แสนจะเห็นอกเห็นใจคนอื่นมาร่วมงานใดก็แล้วแต่ ต้องแน่ใจว่างานนั้นมีความขัดแย้งเกิดขึ้นไม่มากนัก หากไม่ต้องการทำงานกับคนไร้สุข สังคมใดที่มีคนที่เห็นอกเห็นใจคนอื่นอยู่มาก สังคมนั้นจะเดือดร้อนมากกับความขัดแย้ง เรื่องเล็กนิดเดียวก็ลดความสุขได้แล้ว สังคมนั้นมักเรียกร้องหาความสามัคคีอยู่เป็นกิจวัตร โดยเฉพาะเมื่อผู้คนรู้สึกว่าความสุขของตนกำลังถูกคุกคามจากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นมา

คนที่พูดมาก ชอบแสดงอำนาจ มีบ่อยครั้งที่ออกอาการก้าวร้าวให้คนรอบตัวเห็นอยู่เป็นประจำกลับเป็นคนกลุ่มที่มีดัชนีบ่งชี้ความสุขสูงกว่าคนที่เห็นอกเห็นใจคนอื่นเมื่อมีความขัดแย้งเกิดขึ้น แม้ว่าคนกลุ่มนี้จะมีความสุขลดลงบ้างเมื่อจำนวนการขัดแย้งเพิ่มมากขึ้น แต่ก็ยังสบายๆ เมื่อเทียบกับคนที่เห็นอกเห็นใจคนอื่นเพราะดัชนีบ่งชี้ความสุขยังสูงกว่าของตนกลุ่มแรกอย่างเห็นได้ชัด คนกลุ่มนี้ที่ฉวยประโยชน์จากอาการนี้จะปรับตัวอยู่กับความขัดแย้งในระดับที่น้อยกว่าค่าเฉลี่ยได้เร็ว เพราะความขัดแย้งทำให้ได้พูดได้แสดงความเห็นมากขึ้น ซึ่งตรงกับอุปนิสัยที่เป็นอยู่พอดี แต่พวกเขาฉลาดพอที่จะรักษาระดับความขัดแย้งไม่ให้มากเกินไป เพราะพวกเขาเองก็สุขลดลงเหมือนกันหากขัดแย้งมากครั้งขึ้นถึงระดับหนึ่ง คนพูดมาก คนก้าวร้าวเห็นความขัดแย้งเป็นโอกาสในการแสดงฝีมือแต่คนที่เข้าอกเข้าใจคนอื่นเห็นความขัดแย้งเป็นภัยคุกคาม

คนกลุ่มที่มีความมั่นคงในอารมณ์เป็นกลุ่มที่มีดัชนีบ่งชี้ความสุขสูงสุดเมื่อเทียบกับคนที่มีบุคลิกภาพแบบอื่น ใครจะขัดแย้งกันแค่ไหน ฉันก็ยังมีความสุขมากกว่าคนอื่นอยู่ดี ซึ่งแน่นอนว่าใครๆ ก็อยากให้ตนเองอยู่ในกลุ่มนี้ แต่งานวิจัยอีกงานหนึ่งบอกไว้ว่ากว่าคนจะมีความมั่นคงทางอารมณ์ในระดับที่ไม่สะทกสะท้านต่อความขัดแย้งได้ก็ต้องใกล้วัยอาวุโสเป็นอย่างน้อย หมายความว่าเมื่อเราอายุมากขึ้น เราจะทนทานกับความขัดแย้งได้ดีขึ้นด้วย

ความรู้เรื่องนี้บอกเราได้ว่าทำไมสังคมที่มีผู้คนที่เห็นอกเห็นใจคนอื่นอยู่มากๆ จึงทุกข์ร้อนกับความขัดแย้งไปแทบทุกเรื่องทั้งเรื่องใหญ่เรื่องเล็ก ในขณะเดียวกันก็ช่วยให้เข้าใจได้ว่าทำไมจึงมีบางคนที่ตั้งหน้าตั้งตาสร้างความขัดแย้งให้เกิดขึ้นเป็นประจำ