ไม่ใช่แค่ครู...ที่เบื่อการเมือง !

ไม่ใช่แค่ครู...ที่เบื่อการเมือง !

ในวันครูที่เพิ่งผ่านไปหมาดๆ มีการนำเสนอผลการสำรวจความคิดเห็นของครูเกี่ยวกับการเมืองไทย โดย สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต

ผลการสำรวจพบว่า ครูส่วนใหญ่คือ จำนวน 44.26% เห็นว่า การเมืองไทยมีแต่เรื่องน่าเบื่อ หาเรื่องทะเลาะกันทุกวัน ไม่ได้คิดทำประโยชน์เพื่อประเทศชาติและประชาชน 35.68% เห็นว่า แก่งแย่งชิงดี เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน เล่นพรรคเล่นพวก/ทุจริต คอร์รัปชัน โกงกิน และอีก 20.06% เห็นว่านักการเมืองทุกวันนี้ขาดจิตสำนึก ขาดคุณธรรมและจริยธรรม/ดึงการเมืองให้ตกต่ำ

หากอ่านผลการสำรวจโดยผิวเผิน ก็คงมองเป็นเรื่องธรรมดาเพราะการเมืองเกี่ยวข้องกับอำนาจและผลประโยชน์ รวมทั้งมีความสลับซับซ้อนอันเป็นปกติวิสัยของการเมือง ฉะนั้น ก็รู้กันอยู่ว่ามุมมองที่มีต่อการเมืองของกลุ่มอาชีพหลายๆ อาชีพน่าจะออกมาในเชิงลบมากกว่าเชิงบวก

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาลึกลงไปในผลสำรวจครั้งนี้ มีข้อน่าสังเกตว่า ในประเด็นความคิดเห็นที่มีต่อการเมืองไทย ครูที่เป็นกลุ่มตัวอย่างทั้ง 100% มีความคิดเห็นในเชิงลบต่อการเมืองไทย อาจมีความแตกต่างกันเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ คือ กลุ่มใหญ่ที่สุด 44.26% บอกว่าน่าเบื่อ รองลงมา 35.68% เห็นว่า แก่งแย่งชิงดี เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน /ทุจริต คอร์รัปชัน โกงกิน และกลุ่มสุดท้าย 20.06% เห็นว่านักการเมืองทุกวันนี้ขาดจิตสำนึก ขาดคุณธรรมและจริยธรรม/ดึงการเมืองให้ตกต่ำ แต่รวมความแล้วเป็นความคิดเห็นเชิงลบทั้งสิ้น ซึ่งโดยหลักการแล้ว ในการสำรวจความคิดเห็นสาธารณะต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่งนั้น ถ้าไม่เลวร้ายจนเกินไป ทัศนะของผู้ตอบแบบสำรวจก็น่าจะมีการผสมผสานระหว่างความคิดเห็นเชิงบวกและเชิงลบ อาจจะลบมากกว่าบวกหรือบวกมากว่าลบก็ได้ แต่ต้องมีความคิดเห็นเชิงบวกให้เห็นบ้าง

แต่ทว่า ในการสำรวจครั้งนี้กลับกลายเป็นว่า ทุกความคิดเห็นแม้จะแตกต่างแต่กลับมีทิศทางในเชิงลบเช่นเดียวกันหมด นั่นย่อมเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่า สภาพการเมืองไทยในขณะนี้น่าเป็นห่วงมาก แสดงให้เห็นว่า ปรากฏการณ์ของการแก่งแย่งชิงดีกัน การเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง การทุจริตโกงกิน การขาดจิตสำนึก และขาดจริยธรรมทางการเมือง ตามที่ตอบในแบบสำรวจ น่าจะเป็นปรากฏการณ์ที่ดำรงอยู่จริงในระบบการเมืองไทย ซึ่งสภาพของการเมืองในลักษณะดังกล่าวมานี้ย่อมสร้างความเบื่อหน่าย ความเอือมระอาให้แก่ประชาชนหลายกลุ่มอาชีพ ไม่เฉพาะแต่ผู้ประกอบอาชีพครูเท่านั้น

ฉะนั้น ผลการสำรวจครั้งนี้ บรรดานักการเมืองทั้งหลายน่าจะนำกลับไปคิดทบทวนอย่างมากว่า พฤติกรรมและการปฏิบัติงาน การปฏิบัติตนของนักการเมืองที่ผ่านมา ได้วางอยู่บนเจตนารมณ์ของการกระทำเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนจริงหรือไม่ หรือเพียงแค่สร้างภาพ สร้างวาทกรรมว่าทำเพื่อประชาชนส่วนรวม แต่แท้ที่จริงแล้วมีผลประโยชน์ทับซ้อน มุ่งขยายอำนาจ รักษาคะแนนนิยมของตนและของพรรคตนเท่านั้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สามสิ่งแรกที่ครูอยากฝากเป็นการบ้านให้นักการเมืองไทยถือปฏิบัติก็คือ 1. อยากให้นักการเมืองรู้จักการให้อภัยซึ่งกันและกัน เห็นแก่ประโยชน์สุขของบ้านเมืองเป็นสำคัญ 2. เป็นนักการเมืองที่ดี ทำให้ประชาชนเลื่อมใสศรัทธาและเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่เด็ก และ 3. ให้ความสำคัญทางการศึกษา/สร้างขวัญกำลังใจให้กับครู

ผมคิดว่า การบ้านของครูที่ฝากไปถึงนักการเมืองบ้านเรานั้น น่าจะเป็นการบ้านที่ตรงกับใจของประชาชนกลุ่มอาชีพอื่นๆ ด้วยเช่นกัน และคิดว่าหากนักการเมืองไทยจะลงมือทำจริง ก็คงไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ต้องตั้งสติอย่างแน่วแน่ว่า จะทำเพื่อประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง โดยไม่มีวาระแอบแฝงซ่อนเร้น

ถ้ายังไม่ลงมือทำ หรือทำไม่ได้ และยังเล่มการเมืองแบบเดิมๆ เหมือนเช่นที่ผ่านมา แน่นอนที่สุดจะสำรวจอีกกี่ครั้ง กี่สำนักโพลก็คงได้ผลไม่ต่างกันว่า การเมืองไทยน่าเบื่อมากถึงมากที่สุด และก็ไม่ใช่แค่อาชีพครูนะที่เบื่อการเมือง อาชีพอื่นก็คงไม่ต่างกันที่จะบอกว่า “การเมืองไทย...น่าเบื่อจริงๆ”