ทำงานยามค่าแรงแพงแต่ของแพงกว่า

ทำงานยามค่าแรงแพงแต่ของแพงกว่า

ความต่อเนื่องของงานทำให้ทำงานเหมือนเดิมทุกวัน จนอาจหลงลืมกันไปเลยว่า ที่กำลังทำอยู่นั้นใช่งานที่ควรทำหรือไม่

เคยทำมาอย่างไรก็ทำตามนั้นไปเรื่อยๆ เพราะไม่มีอะไรมาเกะกะกีดขวางวิธีการทำงานแบบเดิมๆ ที่เราเคยทำมา ทำแบบเดิมไม่มีอะไรเสียหาย ตราบเท่าที่สรรพสิ่งรอบตัวไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากนัก ของยังแพง ค่าแรงยังถูก ความคุ้นเคยกับวิธีการและผลลัพธ์ที่เหมือนเดิมหรือใกล้เคียงกับของเดิมที่เคยเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกต่อเนื่องมายาวนาน ทำให้การทำงานเป็นไปโดยอัตโนมัติจนกระทั่งลืมคิดอะไรใหม่ๆ ในการทำงานนั้นไปแล้ว และที่แย่ลงไปอีกก็คือการที่สรรพสิ่งรอบตัวมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นก็จริง แต่เกิดขึ้นไม่เร็วจนกระทั่งสังเกตเห็นได้ง่าย การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นทีละเล็กทีละน้อยแต่เกิดขึ้นโดยตลอดจนยากต่อการสังเกต หากไม่ตั้งใจจริงๆ จะไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงนั้น วันดีคืนดีก็รู้ตัวว่าค่าแรงถูกกลายเป็นแพง ของที่ว่าแพงแล้วก็กลายเป็นแพงมากกว่า ทำให้กว่าจะรู้ตัวว่ากำลังทำงานไปคนละเรื่องคนละทางกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น รู้ตัวช้าจนกระทั่งแก้ไขอะไรไม่ได้ นอกจากปลดระวางตนเองออกไปจากงานนั้น

เพื่อให้แน่ใจว่าที่กำลังทำอยู่ทุกวันนั้นถูกเรื่องถูกงานกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอยู่รอบๆ ตัวเราหรือไม่ เราจะต้องหมั่นสอบถามตนเองเป็นประจำว่า เราทำงานนั้นๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายใด ซึ่งเป้าหมายไม่ใช่แค่งานเสร็จ แต่ต้องบอกได้ว่างานเสร็จแล้วได้อะไรตามมา มีอะไรดีขึ้นบ้าง ถ้าแค่ทำงานที่เคยทำให้เสร็จ แต่เสร็จแล้วไม่มีอะไรสักอย่างดีขึ้นเลยแสดงว่าเรากำลังทำผิดงานเสียแล้ว ทำงานใดก็ตามต้องตอบได้ว่าทำแล้วจะบรรลุวัตถุประสงค์ใด ลงบัญชีค่าใช้จ่ายไม่ใช่แค่ลงบันทึกไว้ให้มีบัญชีปรากฏขึ้น แต่หมายถึงควบคุมค่าใช้จ่ายให้เป็นไปตามเป้าหมายได้ดีขึ้นอีกด้วย งานหลายอย่างที่เคยมีความจำเป็นในบริบทหนึ่งอาจไม่มีความจำเป็นอีกต่อไปในอีกบริบทหนึ่ง เคยทำหน้าที่ส่งไปรษณียบัตรแจ้งข่าวคราวให้ลูกค้าได้ทราบ ถ้าทำต่อเนื่องไปเหมือนเดิมทุกวันมาตั้งสิบปียี่สิบปี ถ้าไม่ถามว่างานที่ทำนั้นทำไปเพื่ออะไร เราก็จะยังคงส่งต่อไปเรื่อยๆ ถ้าถามว่าทำไมต้องส่งก็จะได้คำตอบว่าวันนี้มีวิธีอื่นอีกมากมายที่ใช้ทดแทนงานเดิมที่ทำอยู่ได้ภายใต้วัตถุประสงค์เดียวกัน

คำถามต่อไปที่ต้องถามกันเป็นประจำคือถ้าจะให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่เราอยากให้เกิดขึ้นนั้นจะต้องทำงานอะไรบ้าง เราได้ทำงานอะไรไปแล้วบ้าง มีอะไรบ้างที่เรายังไม่ได้ทำเพื่อให้แน่ใจว่าการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นมานั้นไม่ได้ทำให้เราทำน้อยเกินกว่าที่จะบรรลุวัตถุประสงค์ ไม่ได้ทำผิดงานที่วันนี้ไม่จำเป็นต้องทำกันอีกแล้ว นอกจากนั้นยังช่วยทบทวนให้เราทราบว่างานที่ทำอยู่นั้นมีงานใดที่ซ้ำซ้อนหรือล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็นหรือไม่เพราะหลายงานที่แต่ก่อนทำช้าทำเร็วไม่แตกต่างกัน แต่วันนี้ช้าเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว

วิธีที่เราทำงานอยู่ในวันนี้ก็ต้องทบทวนกันเป็นประจำด้วยว่าวิธีที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้เหมาะสมกับงานที่ทำหรือไม่เมื่อพิจารณาถึงเครื่องมือต่างๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ถ้ายังติดต่อกับลูกค้าโดยการส่งโทรสารเหมือนเมื่อสิบปีก่อน จะทำอะไรก็ต้องขอถ่ายสำเนาบัตรประจำตัวกันไว้ก่อน ก็ต้องถามตัวเองว่าวันนี้ยังไม่เคยใช้อีเมล์ ยังไม่เคยใช้กล้องจากคอมพิวเตอร์ถ่ายภาพบัตรประจำตัวหรือไม่ วิธีที่เหมาะสมกับยุคหนึ่งสมัยหนึ่งอาจกลายเป็นความสิ้นเปลืองและล่าช้าในอีกสมัยหนึ่งก็ได้ ถ้าไม่รู้จักทบทวนวิธีทำงาน งานเดิมก็ทำเหมือนเดิมตลอดไป มีเครื่องบินให้เดินทางแต่ก็ยังนั่งรถไฟไปเหมือนเดิมแล้วก็บ่นว่าเสียเวลาเดินทางมากมายในการทำงาน

วันนี้ทำงานไปแล้วไม่ใช่แค่งานเสร็จตามเป้าหมาย แต่ยังต้องตอบให้ได้ด้วยว่าผลิตภาพดีแค่ไหน คนในบ้านใกล้เรือนเคียงเคยคุยโวว่าคนบ้านเขาหนึ่งคนทำงานได้มากกว่าคนบ้านเราแปดคน และได้มากกว่าคนข้างบ้านเราสามสิบคน วันนี้ได้ทำแค่นั้นไม่พอแล้ว วันนี้เราสู้กันด้วยผลิตภาพ ถ้าอยากรู้ว่างานเราคุ้มค่าหรือไม่คุ้มค่าแค่ไหนก็ต้องถามตัวเองว่าจะวัดผลงานของเรานั้นจะวัดอะไรบ้าง คำตอบไม่ใช่แค่จะวัดจากอะไร แต่ยังต้องตอบต่อไปว่าจะวัดได้อย่างไร และตัวเรารู้วิธีวัดหรือไม่ ผลงานหลายอย่างว่ากันเป็นนามธรรม ว่ากันตามความรู้สึกดูเหมือนกับคุ้มค่าคุ้มราคาแล้ว แต่แค่นามธรรม แค่ความรู้สึกไม่เพียงพอที่จะพิสูจน์คุณค่าของงานของเราในยุคโลกาภิวัตน์และทุนนิยมอีกแล้ว เราต้องวัดเป็นปริมาณออกมาให้ได้ และวัดได้ด้วยวิธีที่คนอื่นยอมรับอีกด้วย ที่สำคัญยิ่งคือต้องตอบให้ได้ว่าทำไมต้องวัดด้วยตัวชี้วัดนั้น แค่บอกแต่ว่างานของฉันวัดได้จากตัวชี้วัดใดบ้างจะจบลงด้วยการถกเถียงกันว่างานดีจริงหรือไม่จริง สุดแล้วแต่ว่าใครจะศรัทธาตัวชี้วัดตัวใดมากกว่ากันเท่านั้น


การวัดความสำเร็จของงานด้วยตัวชี้วัดใดจึงต้องมีคำอธิบายที่ดีว่าตัวชี้วัดนั้นสามารถบ่งชี้สิ่งใดบ้างที่ดีขึ้นจากงานที่เราทำไปแล้ว ต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง อย่าให้ความเชื่อมั่น หรือความพึงพอใจส่วนตัวกับตัวชี้วัดตัวใดตัวหนึ่งมาเบี่ยงเบนการวัดผลงานให้ผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปจากที่ควรจะเป็น ผู้บริหารชื่นชอบเรื่องกลยุทธ์เลยไปวัดตัวบ่งชี้เกี่ยวกับการกำหนดกลยุทธ์ในส่วนงานที่เป็นฝ่ายที่ต้องลงมือทำงานตามที่ผู้บริหารกำหนด ผลการวัดจึงบ่งชี้ว่าหน่วยปฏิบัติงานมีการกำหนดกลยุทธ์น้อยเกินไป ทั้งๆ ที่มีหน้าที่ที่ต้องทำตาม ไม่ใช่หน้าที่ที่ต้องกำหนดกลยุทธ์ อย่าวัดตามที่ตนเองชอบ ตนเองศรัทธา แต่ต้องวัดในสิ่งที่ตอบได้ว่าทำไมต้องวัดผลงานด้วยตัวบ่งชี้นั้น วัดตามวิธีที่ตอบได้ว่าทำไมต้องวัดด้วยวิธีนั้น ไม่ใช่กางตำราแล้วกำหนดตัววัดตามตำราโดยไม่สามารถตอบได้เลยว่าต้องวัดอะไร วัดอย่างไร และวัดทำไมในงานที่เราทำ

วันนี้ตั้งอกตั้งใจทำงานเป็นเรื่องที่ดี แต่ต้องเป็นงานที่ถูกเรื่อง ตั้งใจทำงานอย่างเดียวไม่พอต้องวัดให้ได้ว่างานของเราดีอย่างไรอีกด้วย ทำงานดีแต่วัดไม่ได้นั้นอยู่ไม่ได้ในยุคของแพงค่าแรงแพงเช่นในทุกทุกวันนี้