ความรู้ใหม่ๆ ด้านผู้นำจากปี 2555

ความรู้ใหม่ๆ ด้านผู้นำจากปี 2555

เรื่องของผู้นำเป็นเรื่องที่เขียนได้ตลอดเวลานะครับ บทเรียนและความรู้เกี่ยวกับภาวะผู้นำใหม่ๆ ก็มีให้เห็นกันอยู่ตลอดเวลา

ล่าสุดได้มีผู้สรุปความรู้ใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับภาวะผู้นำ ที่เกิดขึ้นในปี 2555 ที่ผ่านมาไว้ห้าประการครับ โดยความรู้ใหม่ทั้งห้าประการนั้นเป็นผลมาจากการทดลองวิจัยที่เกิดขึ้นและได้รับการเผยแพร่ในปีที่ผ่านมา อีกทั้งเป็นแนวคิดที่ได้รับการกล่าวถึงกันมากพอสมควรในปีที่ผ่านมา เราลองมาดูกันนะครับว่ามีเรื่องอะไรบ้าง

ประการแรกเป็นการตอบคำถามว่าทำไมผู้นำที่ไร้ความสามารถถึงยังคงได้รับการว่าจ้างหรือแต่งตั้งให้เป็นผู้นำได้ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เราพบเห็นได้อยู่ทั่วไปในองค์กรต่างๆ ท่านผู้อ่านเคยสงสัยไหมครับว่าทำไมแทนที่ผู้ที่มีความรู้ ความสามารถจะได้รับการเลือกหรือแต่งตั้งให้เป็นผู้นำในระดับต่างๆ กลับเป็นผู้ที่ไร้ความรู้ ความสามารถ

ปรากฏการณ์ดังกล่าวไม่ได้เกิดจากความบกพร่องของฝ่ายทรัพยากรบุคคลหรือกระบวนการในการคัดเลือกบุคคลหรอกครับ แต่มีการพบว่าบุคคลที่มีความมั่นใจสูง เป็นผู้ที่ชอบแสดงออก หรือเป็นพวกที่เรียกว่า Extrovert มักจะทำได้ดีกว่าในการสัมภาษณ์ คนเหล่านี้มักจะได้รับการเลือกให้เข้ามาทำงานหรือเลือกให้เป็นผู้นำ อย่างไรก็ดีใช่ว่าผู้ที่มีความมั่นใจสูง ชอบแสดงออก จะเป็นผู้นำที่ดีเสมอไป ดังนั้นในกระบวนการคัดเลือกและหาผู้นำนั้น เราอาจจะไม่สามารถดูที่การแสดงออกภายนอกเพียงอย่างเดียวนะครับ

ประการที่สอง คือในการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มนั้นความสามารถของกลุ่มในการตัดสินใจและแก้ไขปัญหาจะเรียกว่า Collective Intelligence และจากการทดลองพบว่ามีปัจจัยสามประการที่ทำให้กลุ่มมี Collective Intelligence ที่สูง ประกอบด้วยความสามารถของสมาชิกในทีมที่จะรับรู้ต่อสัญญาณต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบๆ ทีม บรรยากาศที่เปิดที่ทำให้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของสมาชิกในทีม และสุดท้ายคือจำนวนผู้หญิงในกลุ่ม ที่น่าสนใจคือมีการค้นพบว่ายิ่งมีผู้หญิงมากยิ่งทำให้กลุ่มมี Social Intelligence มากขึ้น

ประการที่สามคือการทำให้พนักงานเกิดความผูกพันกับองค์กรนั้น ปัจจัยสำคัญคือการแบ่งปันและเปิดเผยข้อมูล แนวคิดเรื่องของ Open Management นั้นมีมานานแล้ว แต่ดูเหมือนว่าแต่ละปีผ่านไป แนวคิดนี้ก็มีการนำมาใช้กันมากขึ้น องค์กรต่างๆ มีแนวโน้มในการเปิดเผยข้อมูลต่างๆ โดยเฉพาะข้อมูลที่เป็นความลับในอดีตให้พนักงานได้ทราบมากขึ้น เรื่องของความโปร่งใส การเปิดเผยข้อมูลโดยเฉพาะกับคนภายในองค์กรจะกลายเป็นแนวโน้มที่สำคัญต่อไป

ประการที่สี่ มีการพบว่าการจะเป็นผู้นำที่ดีนั้นไม่ใช่เพียงแค่เก่งในด้านการบริหารผลการดำเนินงานเท่านั้น แต่เรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลก็เป็นสิ่งสำคัญ มีงานวิจัยที่พบว่าผู้นำที่มีความเย็นชา ห่างเหิน ไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับบุคลากรมีโอกาสที่จะล้มเหลวสูง ผู้นำที่เย็นชา ห่างเหิน จะทำให้ผู้ที่ทำงานด้วยมีความรู้สึกที่ตื่นกลัว และหวาดกลัวในการทำงานตลอดเวลา พนักงานจะมีความอยากที่จะหลบหนีจากที่ทำงานเนื่องจากความไม่รู้สึกไม่ปลอดภัยเมื่ออยู่ในที่ทำงาน

มีงานวิจัยอื่นที่เข้ามาสนับสนุนครับ โดยพบว่าการที่เรารู้สึกไม่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่นนั้นมักจะนำไปสู่ความเจ็บปวด (ทั้งร่างกายและจิตใจ) และเป็นความรู้สึกเหมือนกับถูกปฏิเสธ ถูกทิ้ง โดดเดี่ยว มีงานวิจัยอีกชิ้นที่ชี้ให้เห็นเลยครับว่าการทานยาแก้ปวดนั้นจะช่วยแก้ความไม่สบายจากภาวะ Social Isolation ได้ ดังนั้นบทบาทของผู้นำนั้น อาจจะต้องแกร่งและดุดันในบางสภาวะ แต่ขณะเดียวกันก็จะต้องทำให้พนักงานไม่รู้สึกถูกทอดทิ้งและประหวั่นพรั่นพรึงครับ

ประการสุดท้ายคือมีการพบว่าผู้ที่เป็นเจ้านายนั้นไม่จำเป็นต้องมีความเครียดเสมอไป โดยเรามักจะเข้าผิดว่ายิ่งเป็นผู้บริหารระดับสูงยิ่งเครียดมากขึ้น แต่ปรากฏว่าตรงกันข้ามครับ มีงานวิจัยที่พบว่าผู้บริหารที่มีตำแหน่งสูงนั้นกลับไม่ได้มีความเครียดมากเท่าที่เราคิด เนื่องจากตัวงานอาจจะมีความเครียด แต่ผู้บริหารระดับสูงสามารถที่ควบคุมความสำเร็จหรือความล้มเหลวของงานได้มากกว่าระดับล่าง ซึ่งก็ช่วยให้ผู้บริหารขจัดความเครียดไปได้พอสมควรครับ

บทเรียนทางผู้นำทั้งห้าประการนั้น David Rock ได้รวบรวมขึ้นมาจากงานวิจัยต่างๆ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับภาวะผู้นำในปี 2555 และเขียนลงใน Huffington Post นะครับ เผื่อท่านผู้อ่านอยากจะไปค้นคว้าศึกษาเพิ่มเติม