ต้านโกงไท้เก๊ก

ต้านโกงไท้เก๊ก

เรื่องนี้คือ ทฤษฎีที่ 4 ซึ่งเป็นทฤษฎีสุดท้ายของ "รัฐศาสตร์ไท้เก๊ก" โดยประเทศไทยได้มีปัญหากับการ "โกงกินคอร์รัปชัน" มาช้านานแล้ว

แต่ยังหาวิธีพิชิตได้อย่างเบ็ดเสร็จไม่ได้เสียที เราลองมาศึกษาตามแนวทางวิถีไท้เก๊ก ซึ่งเพิ่มสภาพจาก 2 ทางแนวคิดสามัญ (นิ่งคือนิ่ง และ เคลื่อนคือเคลื่อน) ได้อีก 2 แนวทางใหม่ (นิ่งคือเคลื่อน และ เคลื่อนคือนิ่ง)

คำตอบที่ 1 : ปล่อยไปตามยถากรรม ถือว่าเรื่องคอร์รัปชัน เป็นสิ่งที่คู่กับประเทศไทยมานานแล้ว เป็นกรรมเก่าที่มรดกตกทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ประชาชนส่วนใหญ่ก็ยอมรับกับเรื่องนี้ได้แถมหลายๆ คนก็ยังเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยในกรณีเล็กๆ น้อยๆ แนวทางนี้ คอร์รัปชันก็ยังคงมีมากมายต่อไป

คำตอบที่ 2 : นี่คือสิ่งที่หลายๆ ฝ่ายพยายามรณรงค์เพื่อลดปัญหาการ "โกงกิน" ตั้งแต่ปลูกฝังในระดับนักเรียน เช่น โครงการโตไปไม่โกง เป็นต้น รวมไปถึงภาคเอกชน ก็มีการก่อตั้งเครือข่ายต้านโกง เพื่อหยุดการให้สินบนใต้โต๊ะ หยุดการสนับสนุนผู้ร่วมโกง เป็นต้น โดยมีเป้าหมายเพื่อลดการโกงกินลงสักครึ่งหนึ่งก็ยังดี

อย่างไรก็ดี 2 แนวทางนี้ไม่สามารถจะหยุดยั้งการโกงกินที่ฝังรากลึกในสังคมไทยมาช้านานได้ แต่ด้วยวิถีไท้เก๊ก เราลองมาพิจารณาอีก 2 คำตอบที่เหลือกัน

คำตอบที่ 3 : นำเอาคอร์รัปชันจากใต้ดินขึ้นมาบนดิน ทำสิ่งที่ผิดกฎหมายให้ถูกต้องตามกฎหมายไปเลย เช่น กำหนดว่าโครงการนี้ต้องการสินบนใต้โต๊ะ 30% โครงการนั้นต้องการเงินใต้โต๊ะ 40% ก็ว่ากันไปเอาให้ชัดๆ กันไปเลย บริษัทต่างๆ จะได้นำเงินส่วนนี้ร่วมคิดในโครงการ และ ใส่เข้าไปเป็นต้นทุนได้ด้วย ด้วยวิธีการเช่นนี้ ประเทศไทยอาจเป็นประเทศแรกและประเทศเดียวในโลก ที่ยอมรับ "การโกงกิน" ว่าเป็นสิ่งถูกต้องตามกฎหมาย ไหนๆ ก็ต้านไปไม่ได้แล้ว เปิดเผยโปร่งใสกันไปเลยจะดีกว่าไหม รู้ๆ กันไปเลยว่า คนใหญ่คนโตคนไหนได้เงินจากโครงการไหนกันไปกี่เปอร์เซ็นต์บ้าง

ตามแนวคิดวิถีไท้เก๊ก คำตอบที่ 3 คือ สิ่งที่คิดเล่นๆ ได้ แต่ไม่ควรนำไปปฏิบัติจริง เพราะเป็นแนวทางที่ย่ำแย่กว่า 2 ทางแบบสามัญคนปกติเขาคิดกันเสียอีก

คำตอบที่ 4 : และแล้วเราก็ถึงคำตอบสุดท้าย วิธีการนี้ยังใช้หลักการยืมพลังมาร่วมด้วย โดยการ "ยืมพลังโจรไปปราบโจร" เนื่องจากปัญหาปัจจุบันก็คือ "ผู้ร่วมวงโกง" นั้นจะพยายามปกปิดสิ่งที่ทำร่วมกัน มักจะไม่มีผู้แฉที่มีเบาะแสหลักฐานชัดเจน เพราะ "ผู้เปิดโปง" เหล่านั้นมักเป็น "ผู้ร่วมวง" หากเรื่องแดงออกมาก็จะต้องรับโทษไปด้วย

วิธีการก็คือ ดึงเอา "ผู้เปิดโปง" ซึ่งเป็นโจรกลับใจ มาจับ "ผู้ร่วมวง" ที่เป็นโจรไม่ยอมกลับใจ เราต้องยอมรับว่าปัญหาการโกงกินนั้นฝังรากลึกมานาน และ เกี่ยวข้องไปแทบทุกวงการ แม้แต่คนธรรมดาๆ ก็อาจเข้าไปเกี่ยวกับเรื่องทุจริตนี้ด้วย หลักการก็คือควร "อโหสิกรรม" แก่ "โจรกลับใจ" เสียก่อนเพื่อเป็นอาสาสมัคร "ผู้เปิดโปง"

โดยอาจกำหนดเวลา 3 เดือนช่วงโปรโมชั่น ให้ผู้เคยร่วมวงโกงมาก่อน สามารถ "มอบตัว" ยอมรับความผิดได้ โดยจะมอบสินทรัพย์ของตนที่เหลืออยู่ 50% บริจาคให้กับภาครัฐไป ไม่ต้องโทษจำคุก และ ถือว่ายกความผิดการ "โกงกิน" ที่ผ่านมาให้ทั้งหมด ต่อจากนั้นสามารถเป็น "ผู้เปิดโปง" จะได้รับส่วนแบ่ง 25% ของสินทรัพย์ "ผู้ร่วมวงโกง" ที่รัฐเข้าไปยึดทรัพย์ได้ด้วย

ด้วยวิธีนี้ "ผู้เปิดโปง" จะได้รับทั้ง "กล่อง" คือ การได้รับการชื่นชมจากสังคมว่าเป็นผู้สำนึกผิดกลับตัวกลับใจ แถมบริจาคเงินช่วยเหลือชาติ นอกจากนี้ยังช่วยชาติจับโจรที่ไม่ยอมกลับใจอีกด้วย ส่วนประเทศชาติก็จะได้รับเงินเข้าคลังจำนวนมากมายอาจสูงนับแสนล้านบาท และ "เงิน" จากส่วนแบ่งการยึดทรัพย์ 25% ของคนโกงอื่นๆ ที่ไม่ยอมกลับใจอีกด้วย

หากประเมินทางจิตวิทยา "ผู้ร่วมวง" จำนวนมากที่เสี่ยงกับเสียทั้ง "เงิน" ที่จะถูกแฉยึดทรัพย์ และยังเสี่ยงกับเสียทั้ง "กล่อง" โดยถูกแฉเสียชื่อเสียงและยังอาจถูกจำคุกอีกด้วย จึงอาจคาดได้ว่าจะมีการเปลี่ยนสภาพจาก "ผู้ร่วมวง" มาเป็น "ผู้เปิดโปง" กันเป็นจำนวนมาก เพราะ แม้จะโกงสำเร็จ 2-3 ครั้ง แต่หากถูกจับได้ จะเสี่ยงกับการถูกแฉและสูญสิ้นทุกอย่าง

นโยบาย 2 เรื่องหลักของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ที่ทำให้คลังเสียเงินนับแสนล้านบาทแต่ละนโยบาย คือ จำนำข้าวทุกเมล็ดราคาสูงลิ่ว และ รถยนต์คันแรก ไม่เพียงเท่านั้น ยังเปิดช่องให้เกิดการ "ทุจริตอย่างแรง" ด้วยการนำข้าวจากประเทศเพื่อนบ้านมาสวมสิทธิจำนำข้าว และยังเปิดช่องให้เกิดการ "ทุจริตอย่างเบา" ด้วยการนำชื่อของพ่อแม่พี่น้องญาติโยมมาสวมสิทธิรถคันแรกอีกด้วย

แต่แนวทางคำตอบที่ 4 ของ "ต้านโกงไท้เก๊ก" นั้น อาจจะขจัดการคอร์รัปชันแบบถอนรากถอนโคนภายใน 1 ปี แถมยังมีเงินเข้าคลังของรัฐนับแสนล้านบาทอีกด้วย หากรัฐบาลเดินหน้าเรื่องนี้ก็นับเป็นบุญของประเทศไทย แต่ถ้ารัฐบาลพรรคเพื่อไทยไม่สนใจ นี่ก็อาจเป็นข่าวดีกับพรรคการเมืองอื่นที่จะนำไปเป็นนโยบายหาเสียงเพื่อขจัดการโกงกินในการเลือกตั้งครั้งหน้านะครับ