“ต้นกล้วย” กับคนโสดเมียนมา และปริศนาแห่งความตาย
ชวนคุยเรื่องความโสด ความตาย และต้นกล้วย ตามภาษาชาวเมียนมา
“ไม่คิดจะหาคู่ควง ตายไปไม่กลัวต้องนอนกอดต้นกล้วยในโรงหรือไง”
“ตอนตาย จะหากล้วยต้นอวบงามใส่ในโรงให้นะ”
“ชาตินี้เป็นโสด มีหวังได้สะเดาะเคราะห์ด้วยต้นกล้วยเป็นแน่”
ใช่แล้วครับ คุณได้ยินไม่ผิดหรอกครับ ต้นกล้วยที่เรา ๆ ท่าน ๆ ทราบกันดีว่ามีดีมากมาย สามารถนำทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็น ใบตอง กาบกล้วย ก้านกล้วย หยวกกล้าย ปลีกล้วย ผลกล้วย มาใช้ทำประโยชน์ได้สารพัด แต่กลับกลายเป็นคำแสลงหู สิ่งแสลงตา ทิ่มแทงใจคนโสดชาวเมียนมา
ใครก็ตามไม่ว่าหญิงสาวหรือชายหนุ่ม ถ้ายังครองตน ครองใจ เป็นโสดอยู่ได้ เมื่อถึงวัยอันควรแต่งงานมีเหย้ามีเรือนแล้วละก็...มีอันต้องถูกแซว ถูกล้อกันไปตามระเบียบ อย่างแน่นอน
หากว่าคนแซวเป็นเพื่อนสนิทหรือคนที่รู้จักคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ก็ไม่มีปัญหาอะไร คนถูกแซวอาจจะไม่คิดอะไรมาก และไม่ถือโทษโกรธ ด้วยว่าคุ้นเคยสนิทรักใคร่กันดี ถือว่าเป็นคำทักทาย หยอกล้อเล่นให้ชวนขำขันกันตามประสาในหมู่เพื่อนฝูง
แต่ถ้าคนแซวไม่ได้เป็นเพื่อนที่สนิทคุ้นเคยกัน พูดแซวว่า นอนเปลี่ยวเหงากอดต้นกล้วยตอนตายในชาตินี้ อาจทำให้คนถูกแซวโกรธเคืองและไม่พอใจเอามากๆ บางทีคนถูกแซวก็อาจจะอารมณ์ขึ้นพุ่งปรี๊ดและด่าว่าโต้กลับคนแซวทันควัน เพราะถือว่าไม่ได้สนิทกัน การมาพูดแซวหรือล้อเล่นเช่นนี้ถือเป็นการพูดที่ “แรง”
การพูดแซวหรือล้อคนโสดเช่นนั้นไม่ได้ต้องการเย้ยหยันหรือดูถูก แต่มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อกดดัน กระตุ้นเตือนคนโสดให้พวกเขาแต่งงานและมีลูก อันถือเป็นหน้าที่ทางสังคมที่พึงปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมโบราณซึ่งค่อนข้างเคร่งครัดเรื่องนี้ในระดับหนึ่ง
อย่างไรก็ดี คนโสดหนุ่มสาวเมียนมาสมัยใหม่ดูจะไม่แยแสและไม่แคร์กับคำแซวดังกล่าวมากนัก เพราะสังคมและยุคสมัยได้เปลี่ยนไปจากเดิมมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนุ่มโสด สาวโสดในเมืองใหญ่ ที่ใช้ชีวิตครองโสดกันมากขึ้น ถ้าเป็นสังคมเมียนมาสมัยก่อนโน้นแล้วละก็...การเป็นหนุ่มโสด ไม่ถูกเป็นเป้าให้คนแซวหรือโดนเพ่งเล็งเท่ากับการเป็นสาวโสด เพราะผู้หญิงเมียนมาสมัยโบราณการครองตนเป็นโสดจะมีชีวิตอยู่อย่างลำบาก จนมีคำกล่าวกับผู้หญิงในสังคมเมียนมาว่า “สามีดุจร่ม” ซึ่งคอยช่วยคุ้มครอง ปกป้อง ช่วยเหลือ เหมือนร่มที่ใช้กางกั้นแดดฝน
ในยุคปัจจุบัน เราไม่ค่อยพบเห็นธรรมเนียมปฏิบัติตามคำแซวที่ว่า ชาตินี้เกิดมาเป็นโสดไม่มีคู่ต้องสะเดาะเคราะห์โดยการนำต้นกล้วยหนึ่งต้นมาใส่ไว้ข้างศพคนโสดและนำไปเผาด้วยกัน เพราะการเผาศพในเมืองใหญ่นิยมเผาด้วยเตาไฟฟ้า จึงทำให้รายละเอียดธรรมเนียมปฏิบัติปลีกย่อยแต่โบราณค่อยๆ ถูกลดทอนออกไป
อย่างไรก็ดี ในชนบท หรือ ตามต่างจังหวัด ยังพบเห็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ว่า เมื่อคนโสดเสียชีวิต ญาติๆ จะนำต้นกล้วยมาใส่ในโรงศพและนำเผาไปพร้อมกัน ณ สุสาน การทำเช่นนี้เชื่อกันว่าเป็นการสะเดาะเคราะห์ให้คนตาย โดยกำหนดให้ต้นกล้วยเป็นสัญลักษณ์แทนคู่ครอง เพื่อที่ว่าชาติหน้าฉันใดจะได้ไม่ต้องครองตัวเป็นโสดเหมือนชาตินี้อีก
อันที่จริงแล้ว ถ้าลองคิดพิจารณาให้ดีแล้ว จะพบว่า สาระสำคัญและความหมายของต้นกล้วยในคำล้อและในธรรมเนียมปฏิบัติของชาวบ้านแต่โบราณฝังแฝงไว้ซึ่งการสอนธรรมมากกว่าจะมีน้ำเสียงสื่อไปในทางกดดันคนโสด หากเราถามพระสงฆ์และแม่ชี ตลอดจนผู้เฒ่าผู้แก่ชาวเมียนมา เราจะได้คำตอบว่า ต้นกล้วยในคำล้อคนโสดและในโรงศพคนโสดนั้นเป็นสัญลักษณ์ที่ให้ทุกคน ไม่ว่าชายหรือหญิง โสดหรือไม่โสด รวมถึงพระสงฆ์องค์เจ้า แม่ชี โยคีบรรดามีในสังคมเมียนมาได้ฉุกคิดและเป็นการสอดแทรกธรรมของชาวบ้านเมียนมาโบราณอย่างแยบยล
ถ้ารู้และคิดเสียว่า “นอนกอดต้นกล้วยตาย” เป็นการสอนธรรม ก็จะมิทำให้คนโสดโกรธเคืองหรือผิดใจกันกับคนแซวล้อ เพราะท่านกำลังเปรียบต้นกล้วยที่ใส่ในโรงศพคู่กับศพคนตายว่า
สังขารนี้เป็นอนิจจัง
สังขารนี้เป็นทุกข์
สังขารนี้เป็นอนัตตา
ท่านกำลังสอนให้คนที่ไปร่วมงานศพได้พิจารณาอสุภว่าคือต้นกล้วยที่แข็งทื่อแน่นิ่งฉะนั้น โดยสอนให้ยอมรับนับถือกฎธรรมดาของร่างกาย
ใจความสำคัญ คือ เธอจงอย่าสนใจในร่างกายตนเองและในกายผู้อื่นและในวัตถุธาตุใดๆ ในโลกนี้ว่าเป็นของเรา ให้เห็นว่าร่างกายนี้ไม่มีในเรา เราไม่มีในร่างกาย หากพ้นเสียจากการเกาะร่างกายเสียได้ก็พ้นทุกข์ สุขอันอิงอายตนะสัมผัสไม่สุขจริง ทุกข์ที่อิงอายตนะสัมผัสก็ไม่ทุกข์จริง อาการที่ร่างกายรับสัมผัสนั้นมันมีวิญญาณบอกให้รู้ ในที่สุดร่างกายก็ต้องตาย จิตหลุดออกจากร่างไปแล้ว อายตนะทั้งปวงก็หยุดทำงาน
เมื่อพิจารณาอสุภคือต้นกล้วยเห็นเป็นอย่างนี้แล้ว จะไปมัวยึดติดรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ทำไมกัน ทำจิตให้ยอมรับกฎธรรมดา เสียดีกว่า
นั่นคือสิ่งที่ท่านกำลังชี้ให้เห็นถึงความหมายที่แท้จริงของต้นกล้วยที่ปรากฏในคำแซวล้อและในธรรมเนียมปฏิบัติของชาวบ้านเมียนมาโบราณ ผู้เขียนเห็นด้วยว่าต้นกล้วยในที่นี้เป็นปริศนาธรรมแห่งความตาย ชี้ให้คนเกิดปัญญา กอปรกับมีคำกล่าวในสังคมเมียนมามาช้านานแล้วว่า
“ไปงานศพเพียงหนเดียว เท่ากับไปทำบุญทำทานถึงสิบหน”
เพราะการไปงานศพทำให้ผู้ไปร่วมงานมองเห็นกฎอันเป็นธรรมดาของชีวิตมากที่สุด
ท้ายสุดแต่มิได้สำคัญน้อยที่สุด มีข้อน่าสังเกตประการหนึ่ง คือ สังคมเมียนมาสอดแทรกปริศนาธรรมแห่งความตายให้คนพึงยอมรับกฎธรรมดานี้ตั้งแต่เด็ก เริ่มจากบทอาขยานของเด็กระดับประถมศึกษาที่ใช้ท่องกันในวิชาภาษาเมียนมา แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า
“การเดินทางนี้ ใกล้สิ้นสุดจุดหมายหรือยังเล่า จวนเจียนจะเข้าห้าโมงเย็นแล้วหนา เจ้าจงโดยสารมาโดยรถไฟ ขอให้เจ้าระวังตัวให้ดีเถิด”
กลอนบทนี้กำลังชี้ว่า ชีวิตเรามุ่งเข้าใกล้จุดหมายคือความตายอยู่ทุกวัน ฉะนั้นพึงใช้ชีวิตอย่างมีสติ พอโตขึ้นมาหน่อย เป็นวัยรุ่น ก็มีคำแซวคำล้อกันว่า “นอนตายกับต้นกล้วย” สหายท่านหนึ่งของผู้เขียนบอกว่า เขาโดนแซวว่า “นอนตายกับต้นกล้วย” อยู่บ่อย ๆ แต่ก็รู้สึกชินเสียแล้ว เพราะสุดท้ายแล้วทุกคนก็ต้องเป็นต้นกล้วยไร้วิญญาณเหมือนกันทุกคนไม่ว่าจะโสดหรือไม่.