ลุยน้ำกันเถอะ

ลุยน้ำกันเถอะ

บ้านเกิดของผมอยู่ที่อำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท คนท้องถิ่นบอกว่า “อยู่ใต้เขื่อน” คือแม่น้ำเจ้าพระยาไหลมาจากนครสวรรค์ มาถึงเขื่อนเจ้าพระยาแล้วไหลผ่านเขื่อนลงมา จากเขื่อนเจ้าพระยามาถึงบ้านผมก็ราว ๑๐ กม

ในยุคที่การขนส่งสินค้าและผู้คนยังเดินทางโดยอาศัยแม่น้ำเป็นเส้นทางหลัก ตลาดเล็ก ๆ ที่บ้านผมตั้งอยู่ แม้จะอยู่คนละฟากแม่น้ำกับตลาดตัวอำเภอก็ตาม แต่ก็ถือว่าเป็นตลาดที่มีความคึกคักมาก

ตลาดหรือชุมชนบ้านเกิดของผมมีชื่อว่า “ตลาดบ้านตึก” ในยุคที่การสัญจรทางน้ำเป็นสายเลือดหลัก ตลาดบ้านตึกมีโรงสีไฟที่มีปล่องก่อด้วยอิฐทนไฟสีแดงตั้งตระหง่าน มีโรงยาฝิ่น มีวิก หรือโรงละครที่มีคณะละครแบบชายจริงหญิงแท้เวียนมาเปิดการแสดงสม่ำเสมอ มีโรงฆ่าสัตว์ของคนที่นับถืออิสลาม ทำหน้าที่เชือดวัวเชือดแพะออกไปขายตามเขียงในตลาดใหญ่ ๆ มีเขียงหมูขายแข่งกันทุกเช้าถึง ๒ เขียง มีร้านทำทองของคนจีนแคะอยู่ ๒ ร้าน มีร้านตัดเสื้อผ้าผู้ชาย ๒ ร้าน ทั้งที่ตัวตลาดมีความยาวไม่เกิน ๑๐๐ ม. ท่านั้น

เหตุผลที่คึกคักและมีความเจริญไม่น้อย เพราะชาวบ้านในเขตสรรพยาที่อยู่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา เวลาที่จะไปติดต่อข้อราชการต่าง ๆ ที่ตัวอำเภอ จะต้องมาแวะเพื่อขึ้นเรือจ้างข้ามฟาก ที่สำคัญก็คือบรรดาเรือโยงและแพซุง ที่ลอดผ่านเขื่อนเจ้าพระยาล่องลงมา ก็จะต้องมาจอดเพื่อปรับความยาวของเชือกโยงเรือ และแพซุงกันหน้าตลาด ไม่ไปจอดที่ตลาดฝั่งตัวอำเภอ ที่อยู่ตรงกันข้ามเพราะไม่อยากให้เจ้าหน้าที่หน่วยงานต่าง ๆ ลงมาถามโน่นถามนี่

บ้านเกิดของผมอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งตั้งแต่ผมเกิดมาจะมีน้ำท่วมบ้านเรือนแทบจะเรียกได้ว่า “ปีเว้นปี” หรือบางทีก็สองสามปีติดต่อกัน ผมซึ่งแม้จะไม่ค่อยได้ใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านเกิดมากนัก แต่ก็พอที่จะพูดได้ว่าคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตกับน้ำท่วมพอสมควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขับรถบนถนนที่มีน้ำท่วม และการขับรถบนถนนที่มีสภาพพื้นถนนเละเป็นโคลน เพราะต้องขับรถปิกอัพกับสภาวะเช่นนั้นอยู่บ่อยๆ

ปีนี้ภาวะฝนฟ้าดูท่าว่าจะหนักเอาการ ฝนที่ตกลงมาย่อมเป็นอุปสรรคต่อการขับรถมากทีเดียว เพราะไหนจะเป็นเรื่องของทัศนวิสัยของผู้ขับขี่ที่ลดลง ไหนจะเป็นเรื่องของประสิทธิภาพการยึดเกาะถนนของรถที่ลดลง ไหนจะเป็นเรื่องของประสิทธิภาพของเบรกที่ลดลง กล่าวได้ว่ามีสาเหตุที่ทำให้อุบัติเหตุของการใช้รถยนต์ เพิ่มขึ้นได้มากกว่าในฤดูกาลอื่นๆ

วันนี้ผมจะมาคุยถึงปัญหาของการใช้รถ ในภาวะที่ฝนตกหนักและมีน้ำท่วมขัง เพราะเท่าที่ดูจากโลกออนไลน์ทั้งหลาย พบว่ายังมีคนขับรถยนต์อีกมาก ที่หวั่นเกรงต่อการต้องขับรถลุยน้ำท่วมถนน และมีอีกกลุ่มหนึ่ง ที่เชื่อมั่นในคำโฆษณาของผู้จำหน่ายรถยนต์ว่ามีขีดความสามารถในการลุยน้ำได้ลึกถึงระดับนั้นระดับนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า ที่ผู้จำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะสัญชาติจีน พยายามบอกว่าความสามารถในการป้องกันน้ำ อยู่ที่ระดับ IP เท่านั้นเท่านี้

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจหรือแปลความกันให้ดีก่อนว่า ขีดความสามารถในการลุยน้ำท่วมได้ลึกในระดับใดนั้น ผู้จำหน่ายรถยนต์ทุกยี่ห้อล้วนแต่พูดความจริง แต่เป็นความจริงจากการทดลองตามรูปแบบที่กำหนดเอาไว้ ซึ่งการใช้งานในชีวิตประจำวันของคนทั่วไป จะมีเงื่อนไขที่ต่างกันออกไป

ระดับความลึกของน้ำที่ท่วมถนนซึ่งควรจะขับรถฝ่าไป ควรจะอยู่ที่ระดับความลึกร้อยละ ๖๐ หรือเต็มที่ไม่เกินร้อยละ ๗๕ ของระดับความลึกที่ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายประกาศเอาไว้ เพราะเมื่อรถแล่นแหวกน้ำที่ท่วมไปนั้น จะมีกระแสน้ำไหลเอ่อย้อนกลับมาปะทะกับหน้ารถ สูงขึ้นกว่าระดับความลึกจริงอีกมากพอควร เช่นน้ำท่วมพื้นถนนลึก ๕๐ ซม. แต่จะมีน้ำไหล่เอ่อขึ้นมาบนฝากระโปรงรถ สูงไม่น้อยกว่า ๖๐ ซม. ขึ้นไป

และยังมีตัวแปรอื่น ๆ ที่จะทำให้น้ำสูงกว่าระดับที่น้ำท่วมจริง เช่น พื้นถนนที่ชำรุดเป็นหลุมเป็นบ่อ เมื่อมีล้อใดล้อหนึ่ง ตกลงไปจะเท่ากับว่าระดับความลึกของน้ำตรงจุดนั้นเพิ่มขึ้นไปอีก และความสูงของน้ำยังเกี่ยวพันกับความเร็วของรถ ยิ่งรถแล่นเร็วน้ำที่สวนย้อนมาก็จะยิ่งสูงขึ้น

ตัวแปรอื่น ๆ เช่นมีรถแล่นสวนทางมา ถ้าเป็นรถยนต์ขนาดใหญ่ ระดับน้ำหรือคลื่นที่จะเข้ามากระแทกกับรถของเราก็จะสูงขึ้น รถที่แล่นสวนมาแล่นด้วยความเร็วมากขึ้น คลื่นก็สูงขึ้นตามความเร็วเช่นกัน แม้แต่รถที่แล่นไปในทิศทางเดียวกัน เช่นรถที่แล่นแซงขึ้นหน้าไปก็จะสร้างคลื่นให้มากระแทกที่ตัวรถของเราด้วย

ในกรณีที่น้ำท่วมถนนเป็นน้ำไหล ให้ดูทิศทางการไหลของน้ำเป็นสำคัญ น้ำที่ไหลสวนทิศทางการวิ่งของรถ จะมีระดับความสูงของน้ำกระทำต่อฝากระโปรง และใต้ท้องรถสูงกว่าระดับน้ำท่วมจริง ส่วนน้ำที่ไหลไปในทิศทางเดียวกันกับรถที่แล่นไป จะดันหรือหนุนด้านท้ายรถหรือล้อหลังของรถ ให้ลอยขึ้นจากพื้นถนนจนเสียการทรงตัวหรือตกถนนได้

ส่วนน้ำที่พัดหรือมีทิศทางการไหลมาจากด้านข้างรถ ก็สามารถพัดรถให้หลุดหรือตกไปจากถนนได้เช่นกัน การจะขับรถฝ่าถนนที่มีน้ำท่วมขัง คนขับรถยนต์จึงต้องเรียนรู้เรื่องต่างๆเหล่านี้เอาไว้ให้ขึ้นใจ เพราะหากพลาดพลั้งเพียงครั้งเดียว จะไม่มีโอกาสให้แก้ตัวใหม่ เช่นที่มีข่าวเกิดขึ้นเป็นประจำเมื่อมีรถแล่นฝ่าน้ำท่วมถนน

วิธีการขับรถฝ่าน้ำท่วมถนนเพื่อความปลอดภัย นอกจากจะต้องดูความเชี่ยวกรากของกระแสน้ำ ต้องดูทิศทางการไหลของน้ำ ต้องดูระดับความลึกของน้ำ ซึ่งสามารถดูได้จากรถคันอื่นที่แล่นฝ่าไปก่อนหน้า หรือหากไม่มั่นใจก็ต้องลงไปเดินสำรวจก่อนที่จะขับรถฝ่าไป แล้วยังต้องเล็งแนวถนนเอาไว้ให้แม่นยำ จะได้ไม่ขับรถจนตกถนนไปเพราะความผิดพลาด

ท้ายที่สุดคือต้องควบคุมความเร็วของรถให้สม่ำเสมอ โดยต้องขับรถในตำแหน่งเกียร์ต่ำ ไม่เปลี่ยนความเร็วไปมาระหว่างขับลุยน้ำ ต้องสังเกตคลื่นของน้ำที่รถเราแล่นแหวกไป คลื่นต้องเป็นระลอกอยู่หน้ารถเสมอ หลีกเลี่ยงการทำให้คลื่นย้อนกลับมากระแทกที่ด้านหน้ารถ และอย่าใช้ความเร็วสูงจนรถแล่นนำหน้าคลื่น หรือเร็วจนมองไม่เห็นคลื่นที่รถของตัวเองแหวกน้ำไป

ถ้าไม่มั่นใจว่าจะสามารถขับรถฝ่าน้ำท่วมไปได้หรือไม่ ให้จอดรถหรือเปลี่ยนเส้นทาง อย่าคิดเสี่ยงแบบไปตายเอาดาบหน้า เพราะชีวิตเราจะไม่มีโอกาสแก้ไขคืนกลับมาครับ