‘คันทรี่ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์’เติบโตแบบก้าวกระโดด

‘คันทรี่ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์’เติบโตแบบก้าวกระโดด

 

‘คันทรี่ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์’เติบโตแบบก้าวกระโดดด้วยวิสัยทัศน์ 3 ด้านสู่ความสำเร็จ

หลังจากพลิกเกมธุรกิจครั้งใหญ่ ด้วยการขอเพิกถอนหุ้นสามัญของบริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CGS และเดินหน้าสู่ธุรกิจ Holding Company เต็มตัวในนามบริษัท คันทรี่ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ CGHนับเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เริ่มต้นมาจากวิสัยทัศน์ลงทุนแบบสร้างสรรค์ของ CGHด้วยการบริหารงานภายใต้วิสัยทัศน์ The New Edge of Investmentหรือ การลงทุนรูปแบบใหม่ ซึ่งจะพาบริษัทฯ มุ่งหน้าสู่เป้าหมายเป็นหนึ่งใน SET50 ภายในปี 2020

โดยมีเคล็ดลับ3ข้อ ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินงานเพื่อช่วยให้บริษัทฯ ก้าวเข้าสู่เป้าหมายการเป็นธุรกิจโฮลดิ้งที่เติบโตอย่างรวดเร็วและยั่งยืนที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย พร้อมทั้งยังสร้างผลลัพธ์จากการงทุนอย่างต่อเนื่องอีกด้วย

 

มุ่งสู่กลยุทธ์การบริหารงานแบบสร้างสรรค์

ภายหลังการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเป็นกลุ่มบริษัทเงินลงทุนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยCGH ไม่เพียงนำความรู้ ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญที่มีจากการบริษัทที่ทำธุรกิจบริการนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ ซึ่งช่วยให้บริษัทตัดสินใจด้านการลงทุนได้แม่นยำแต่ยังเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้กลยุทธ์ 5 ด้านที่ช่วยต่อยอดความสำเร็จ ผ่านการดำเนินธุรกิจรูปแบบใหม่

ซึ่งได้แก่ การสร้างเครือข่ายธุรกิจที่มีความเข้มแข็งจากพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ จากทั่วโลก(Intensive Network) การผนึกกำลังโครงสร้างพื้นฐานให้ทำงานสอดคล้องกันอย่างมีคุณภาพ (Synergistic Infrastructure) การลงทุนเชิงรุกของ CGH เอง (Active Investment Approach) การสร้างมูลค่าให้เกิดสูงสุด (Optimal Value) และการสร้างขีดความสามารถให้พอร์ตโฟลิโอ ด้วยการลงทุนที่กระจายตัวหลากหลาย (Dynamic Portfolio) ที่เน้นแสวงหาพื้นที่และตลาดเกิดใหม่ที่มาพร้อมกับโอกาสใหม่ที่ยังไม่มีคนเข้าไปถึง และมุ่งกระจายการลงทุนครอบคลุมกิจการหลากหลายประเภทนอกจากนี้การมีเครือข่ายที่กว้างขวาง และองค์ความรู้ด้านการตลาดที่เข้มแข็ง รวมถึงการที่บริษัทมีธุรกิจในเครือที่เอื้อเฟื้อ ล้วนเป็นองค์ประกอบที่ช่วยหนุนเสริมและส่งผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน

 

ตั้งเป้าหมายการลงทุนที่หลากหลายเพื่อเพิ่มโอกาสการเติบโต

ปัจจุบัน CGH มีการลงทุนในบริษัทย่อยหลายประเภทเพื่อกระจายความเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นการในด้านการลงทุนหลักซึ่งCGH จะลงทุนแบบระยะยาว โดยการมองหาโอกาสทางธุรกิจและเข้าไปบริหารกิจการของบริษัทจดทะเบียนหรือบริษัทจำกัดที่มีศักยภาพเพื่อถือครองกิจการที่มีรากฐานมั่งคง จากนั้นปรับปรุงปรับเปลี่ยนโครงสร้างให้เกิดกำไรและพัฒนาอย่างยั่งยืนโดยอาศัยความเชี่ยวชาญด้านการบริหารของทีมงานใน CGH ส่วนด้านการลงทุนชั่วคราว บริษัทฯ จะมองหาธุรกิจที่มีการเติบโตหรือมีมูลค่าที่น่าสนใจในการลงทุน แล้วได้ผลตอบแทนในระยะเวลาสั้น การลงทุนทั้งสองแบบก็เพื่อสร้างผลตอบแทนที่มั่งคงต่อและยั่งยืนให้แก่นักลงทุนผ่านการเปิดกว้างรับทุกโอกาสในการลงทุนที่หลากหลาย

การนำความได้เปรียบจากประสบการณ์ทำให้ CGH เข้าใจถึงการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนและนำมาใช้หลากหลายรูปแบบและวัตถุประสงค์ ตั้งแต่การถือหุ้นในบริษัทฯ ที่เติบโตในอุตสาหกรรมหลายประเภท อาทิ ธุรกิจหลักทรัพย์ ธุรกิจพลังงานทดแทน ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจพลังงานสะอาด

โดยหากเอ่ยถึงสินทรัพย์ปัจจุบันของ CGH ประกอบด้วย การมีบริษัทลงทุนในรูปแบบโฮลดิ้งที่มีธุรกิจหลากหลายในเครือทั้งบริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (CGS) (99.3%)ที่มีชื่อเสียงยอมรับในฐานะผู้ให้บริการด้านการเงินแบบครบวงจร มีบริการให้ลูกค้าหลากหลายประเภท เช่น ที่ปรึกษาทางการเงิน SBL Private Wealth การลงทุนในลักษณะ Pop Trade การซื้อขายพันธบัตรและตราอนุสารพันธ์ เป็นต้น

ส่วนบริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) (MFC)  (24.8%)คืออีกธุรกิจที่มีจุดแข็งที่เป็นบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนที่มีความชำนาญและมีประสบการณ์ยาวนานถึง 40 ปี ปัจจุบันมีฐานะเป็นบริษัทเอกชน ดำเนินกิจการบริหารกองทุนอย่างเต็มตัว โดยเฉพาะกองทุนรวม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุน Private Equity กองทุนรวมอสังหาริมทรัพท์และโครงสร้างพื้นฐาน โดยมีลูกค้าทั้งหน่วยงานรัฐ สถาบันและรายย่อย และมีสินทรัพย์การลงทุนรวม 405,538 ล้านบาท รับผิดชอบดูแลกองทุนทั้งสิ้น 206 กองทุน โดยMFC ยังคงเป็นบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ซึ่งด้วยแรงขับเคลื่อนสำคัญคือทีมงานมืออาชีพกว่า 280 คน และผู้จัดการกองทุนกว่า 24 คน ทำให้ล่าสุดกองทุน MFC International Develop Markets Fundยังได้รับรางวัล The Best Thailand Fund มาครอง        

อีกธุรกิจในเครือ ได้แก่ บริษัท ผาแดงอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) (PDI) (25%)เป็นบริษัทที่ดำเนินการธุรกิจเหมืองแร่และผลิตโลหะสังกะสีอันดับต้นๆของประเทศไทย มีกำลังการผลิตสังกะสีและอัลลอยรวมกัน 110,000 เมตริกตัน ปัจจุบันมีเหมืองสังกะสีอยู่ที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก และโรงย่างแร่ที่จังหวัดระยอง นอกจากนี้ยังมีโรงถลุงแร่ที่จังหวัดตากด้วยปัจจุบัน เนื่องจากวัตถุดิบจากเหมืองที่แม่สอดลดลง PDI จึงได้มองหาความท้าทายในด้านธุรกิจใหม่ๆ จากพลังงานทดแทน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และพลังงานชีวมวล เป็นต้น ซึ่ง PDI ยังคงมีสถานะทางการเงินอันมั่นคงประกอบกับมีความรู้ด้านเทคนิคใหม่ๆหลั่งไหลเข้ามาในบริษัทอยู่เสมอ ล่าสุด PDIมีการปรับโครงสร้างทางธุรกิจเป็นโซลาร์ฟาร์มโดยวางแผนจะมีกำลังผลิตไฟฟ้า 200 เมกะวัตต์ ทั้งในและต่างประเทศและจัดตั้งโครงการรีไซเคิลโลหะซึ่งจะช่วยให้บริษัทเติบโตในปี 2560 โดยร่วมกับ ScanArc Plasma Technologies พันธมิตรจากสวีเดนที่มีความเชี่ยวชาญระดับโลกมาช่วยยกระดับศักยภาพธุรกิจให้เทียบเท่านานาชาติ

ขณะที่ บริษัท คันทรี่ กรุ๊ป ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (CGD) (9.3%)เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพท์ที่กำลังมาแรงในตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศไทยดำเนินธุรกิจเน้นการแสวงหาโครงการเพื่อการพัฒนาหรือโอกาสพิเศษในการลงทุน แล้วบริหารงานอย่างมืออาชีพ จนนำไปสู่ผลประกอบการอันน่าพอใจปัจจุบันธุรกิจหลักของ CGD ได้แก่การพัฒนา การลงทุนและการบริหารการลงทุนในโครงการต่างๆ อาทิ โครงการที่กำลังได้รับความสนใจระดับประเทศอย่าง “เจ้าพระยา เอสเตท” ที่ประกอบไปด้วย โฟร์ซีซั่นส์ ไพรเวท เรสซิเดนท์ เซอร์วิสเรสซิเดนท์ระดับซูเปอร์ไฮเอนท์ 73 ชั้น และโรงแรมหรูระดับ 6 ดาว อย่างโรงแรมคาเพลลาและโรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ในช่วงการดำเนินการสร้าง โดยคาดว่าจะรับรู้รายได้ในปี 2561

พื้นฐานแข็งแกร่งด้วยทีมงานมืออาชีพ

อีกจุดแข็งของ CGH คือการมีทีมผู้เชี่ยวชาญมืออาชีพที่มากประสบการณ์เฉพาะ จึงสามารถวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกได้อย่างถี่ถ้วนและส่งผลให้ตัดสินใจได้อย่างเฉียบคมและรวดเร็ว โดยในกระบวนการทำงานด้านการลงทุนอย่างมืออาชีพนั้น ยังส่งผลให้ CGH ใช้ระยะเวลาน้อยในการจัดการด้านการลงทุน อีกทั้งมีความสามารถในการมองหาโอกาสในการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงในระยะเวลาสั้น

ด้วยแนวทางการบริหารหลักที่เป็นเอกลักษณ์ และต่อยอดจากวิสัยทัศน์แห่งความคิดสร้างสรรค์ จึงไม่น่าแปลกใจ หากวันนี้ CGH ไม่เพียงตั้งเป้าแค่การสร้างผลตอบแทนให้กับการลงทุนของบริษัทในอัตราไม่ต่ำกว่า 15%แต่ยังมองยาวไกลไปถึงการเป็นหนึ่งในบริษัท SET50 ภายในปี 2563 ภายใต้จุดยืนการเป็น The New Edge of Investment