ก้าวต่อ ปตท. กับ Social Collaboration วิสัยทัศน์ดูแลสิ่งแวดล้อม และสังคม สู่ความยั่งยืน
ปฏิเสธไม่ได้ว่าโลกกำลังถูกท้าทายด้วยกระแสการเปลี่ยนแปลงของยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม 4.0 ที่เป็นผลจากเทคโนโลยีดิจิทัลและยังรุกคืบมาถึงการเปลี่ยนแปลงของเทรนด์พลังงานรูปแบบใหม่ๆ ที่มีแนวโน้มเดินไปสู่เส้นทางของพลังงงานสะอาดเพื่อโลกมากขึ้น
ด้วยบทบาทผู้นำด้านนวัตกรรมของประเทศ ทำให้กลุ่ม ปตท. ที่มองเห็นสัญญาณความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว และเตรียมพร้อมที่จะปรับปรุงการทำงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์และความท้าทายต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้น
โดยไม่เพียงการเตรียมการรองรับทั้งเชิงกลยุทธ์ที่ต้องเร่งแสวงหาธุรกิจใหม่ที่เป็น New S-Curve และนำนวัตกรรมเทคโนโลยีมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจ ควบคู่กับการพัฒนาคนให้มีความพร้อมเป็นพลังขับเคลื่อน ตามวิสัยทัศน์ Change for future of Thailand 4.0 เพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานและสังคมที่ยั่งยืนแล้ว
กลุ่ม ปตท. ยังตระหนักถึงความรับผิดชอบและเป็นอีกหนึ่งส่วนหนึ่งของพลังที่ร่วมขับเคลื่อนสังคมไทยและโลก ที่ยึดแนวทางการสานพลังสู่ความยั่งยืน หรือ Sustainable Growth for All โดยมีหลักการดำเนินงาน 3 ด้านอย่างสมดุลได้แก่
People มุ่งเน้นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และสังคมชุมชนอย่างมีส่วนร่วม เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีแก่คนในสังคม Planet ดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม มุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางเลือก ลดมลพิษ พร้อมมุ่งมั่นส่งเสริมและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสุดท้าย Prosperity ดำเนินธุรกิจโดยยึดหลักธรรมาภิบาล บนภารกิจสร้างความมั่นคงทางพลังงาน และสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ
โดยแนวคิดการให้ความสำคัญกับการสร้างความยั่งยืนให้แก่ประเทศชาติ องค์กร สังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม
ชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท. ได้แสดงวิสัยทัศน์ดังกล่าวในงาน Sustainable Brands Bangkok 2018ภายใต้หัวข้อ “Technology for Social Collaboration” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในงาน Sustainable Brands Bangkok 2018 ณ คุ้งบางกะเจ้า อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ แสดงให้เห็นถึงทิศทางและแนวทางการดำเนินงานด้านเทคโนโลยี ดิจิตอล นวัตกรรม ที่กลุ่ม ปตท. นำมาปรับใช้
โดยกล่าวว่า นับตั้งแต่วันก่อตั้งจนถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่าสี่สิบปี แนวทางการดำเนินการของ ปตท.ที่มีมาตลอดคือพัฒนาผลิตภัณฑ์และการบริการต่างๆ ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และดูแลชุมชนรอบข้าง
“แต่วันนี้ เรามองไปถึงการมีส่วนร่วมในการดูแลประเทศด้วย รวมถึงประเทศอื่นๆ ที่เราไปดำเนินธุรกิจด้วย ซึ่ง ปตท.พยายามนำเทคโนโลยีและนวัตกรรม การบริหารจัดการที่ดีเพื่อเป็นแบบอย่างให้หลากหลายพื้นที่ เช่น การพัฒนาปั๊มแยกขยะ หรือโครงการแยกแลกยิ้ม เป็นต้น”
ในด้านการดูแลสิ่งแวดล้อมและการดำเนินงานสู่ความยั่งยืนเป็นภารกิจที่ ปตท.ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่การจัดตั้งสถาบันปลูกป่ามาตั้งแต่ปี 2537 ที่ต่อยอดขยายผลกลายเป็นอีกหลากหลายโครงการ ซึ่งล้วนเป็นบทพิสูจน์ถึงความจริงจังในการดูแลรับผิดชอบโลกใบนี้
“หลากหลายโครงการที่เรามี จนอาจเรียกได้ว่าเรามีแซนด์บ็อกซ์เป็นของเราเอง ได้แก่ โครงการป่าในกรุง ป่าวังจันทร์ ศูนย์ศึกษาเรียนรู้ระบบนิเวศป่าชายเลนสิรินาถราชินีรวมถึงป่าอีกกว่าล้านไร่ที่กระจายอยู่ใน 50 จังหวัดทั่วประเทศ นอกจากนี้เรายังมีการจัดกิจกรรมรางวังลูกโลกสีเขียว โครงการอาสาพัฒนารักษาป่า เพื่อให้การสนับสนุนและดูแลผืนป่าของคนไทย”
ส่วนวิสัยทัศน์ในการดำเนินงานต่อจากนี้ ซีอีโอคนล่าสุดของ ปตท. ย้ำชัดเจนว่าจะดำเนินการผ่านการสานพลังจากหลากหลายหน่วยงานในรูปแบบ “Social Collaboration” ที่เป็นการเปลี่ยนรูปแบบและวิธีการพัฒนาจากเดิมที่มุ่งเน้นการแก้ปัญหาหรือการพัฒนาเฉพาะด้าน ไปสู่การบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อร่วมพัฒนาสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อมแบบองค์รวม โดยมีความต้องการของชุมชนเป็นพื้นฐานและเป็นแกนกลางในการขับเคลื่อน
“เป็นปรัชญาในการดำเนินงานของ ปตท. ที่ต้องดูแลโลก ดูแลประเทศไทยด้วยอย่างยั่งยืน แต่การดำเนินงานต่างๆ เหล่านี้จะต้องใช้เวลาและงบประมาณค่อนข้างมาก ปตท.จึงค่อยๆ ทำไปและทำอย่างต่อเนื่องดังนั้น Social Collaboration จะเป็นแนวทางใช้พลังของการร่วมกันคิดร่วมกันทำ ตามความถนัดของแต่ละฝ่ายมาร่วมกันขับเคลื่อน”
สำหรับการดำเนินโครงการร่วมพัฒนา “คุ้งบางกะเจ้า” พื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่กว่า 12,000 ไร่ ใกล้กรุงเทพฯ ที่ถูกยกให้เป็นสถานที่ที่สร้างออกซิเจนบริสุทธิ์ทำหน้าที่ฟอกอากาศให้คนกรุงเทพ สมุทรปราการและพื้นที่ใกล้เคียงที่มีคุณค่าในเชิงเศรษฐกิจ ท่องเที่ยว สังคม วัฒนธรรม
ปตท. ได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2559 ผ่านโครงการรักษ์น้ำ รักษ์ป่า รักษ์คุ้งบางกะเจ้าต่อมาในปี 2561 ได้ขยายความร่วมมือในรูปแบบ Social Collaboration กับภาคีเครือข่าย ภายใต้โครงการ OUR Khung Bang Kachaoซึ่งเป็นการสานพลังร่วมเพื่อพัฒนาสังคม (Social Collaboration with Collective Impact) โดยความร่วมมือทั้งราษฎร์ – รัฐ – เอกชน ระหว่างชุมชนคุ้งบางกะเจ้า 6 ตำบล และ 34 องค์กรชั้นนำของประเทศ ภายใต้การกำกับของมูลนิธิชัยพัฒนา พร้อมน้อมนำศาสตร์พระราชาแห่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ และหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มาเป็นหลักการดำเนินงานเพื่อร่วมอนุรักษ์และพัฒนาให้คุ้งบางกะเจ้าเป็นพื้นที่สีเขียวอันอุดมสมบูรณ์
ชาญศิลป์กล่าวต่อว่าเป้าหมายของความร่วมมือครั้งนี้คือความยั่งยืนในการร่วมพัฒนาวิถีชีวิตความเป็นอยู่และการเติบโตทางเศรษฐกิจของคนในท้องถิ่นให้ดียิ่งขึ้นด้วยการตอบสนองความต้องการของชุมชนที่แท้จริง (Community Centric Development) เป็นตัวตั้งบนการทำงานที่มีเป้าหมายร่วม (Shared Goal) เพื่อสร้างผลลัพธ์ร่วมกัน
“การวางแผนดูแลสภาพสิ่งแวดล้อมต้องร่วมมือกับชุมชน เพราะเขาเป็นคนที่รู้พื้นที่ดีกว่าในการดำเนินการทุกอย่าง จริงๆ ชุมชนต้องรักษาไว้ ซึ่งการจะสร้างจิตสำนึกให้ช่วยกันรักและหวงแหนท้องถิ่น เราต้องปลูกป่าในใจคน”
โครงการ “OUR Khung Bang Kachao”มุ่งเน้นการพัฒนา6 มิติ เพื่อตอบโจทย์การอนุรักษ์และพัฒนาพื้นที่และแก้ปัญหาที่คนในชุมชนต้องการได้แก่ 1. การเพิ่มพื้นที่สีเขียว 2. การจัดการน้ำและการกัดเซาะริมตลิ่ง 3. การจัดการขยะ 4. การส่งเสริมอาชีพ 5. การท่องเที่ยว และ 6. การพัฒนาเยาวชนและการศึกษา
ซึ่งนอกจากการรับผิดชอบในมิติการเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับคุ้งบางกะเจ้าแล้ว ผู้บริหาร ปตท. เสริมว่าในอนาคต ปตท. อาจนำความรู้ทางเทคโนโลยีต่างๆ ที่มี เช่น Data Analytic ระบบเซนเซอร์ ไลน์ หรือแอพพลิเคชันมาช่วยให้ประสิทธิภาพการพัฒนาพื้นที่ต่อไป
ทั้งนี้งานประชุม Sustainable Brands Bangkok 2018 เป็นการประชุมสัมมนาด้านความยั่งยืนของแบรนด์ระดับโลก โดยครั้งนี้จัดขึ้นในวันที่ 12-13 ตุลาคม 2561 ณ พิพิธภัณฑ์ปลากัดไทย คุ้งบางกะเจ้า ภายใต้แนวคิด “Redesigning The Good Life” เป็นการระดมความคิดเพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ในการดำเนินธุรกิจและสร้างแบรนด์ ให้ตอบสนองการสร้างชีวิตที่ดีในสังคม โดยได้รับเกียรติจากผู้บรรยายทั้งในระดับโลกและระดับประเทศ