TPBI ผลงานปี 61 ทำรายได้รวม 5,011.02 ล้านบาท

TPBI ผลงานปี 61 ทำรายได้รวม 5,011.02 ล้านบาท

‘บมจ.ทีพีบีไอ’ หรือ TPBI ประกาศผลงานปี 2561 ทำรายได้ เพิ่มขึ้น หลังกลุ่มผลิตภัณฑ์ถุงขยะ และ กลุ่ม Reusable Bag เติบโตโดดเด่นจากคำสั่งซื้อ

นายกมล บริสุทธนะกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บมจ.ทีพีบีไอ หรือ TPBI ผู้นำอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ครบวงจรระดับโลกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและรับผิดชอบต่อสังคม มีกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐานสากล เปิดเผยถึงภาพรวมผลการดำเนินงานในปี 2561 บริษัทฯ มีรายได้รวม 5,011.02 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.75% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้รวม 4,783.90 ล้านบาท ซึ่งมีปัจจัยมาจากคำสั่งซื้อในผลิตภัณฑ์ถุงขยะ (Garbage bags) เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เช่นเดียวกับกลุ่ม Flexible packagingที่เพิ่มขึ้นจากการก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ที่ช่วยสนับสนุนกำลังการผลิตและการขายเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ ถุงพลาสติกประเภท Reusable ซึ่งเป็นสินค้าในกลุ่มทรานฟอร์เมชั่นที่มาทดแทนการลดลงของคำสั่งซื้อถุงพลาสติกประเภทใช้ครั้งเดียวทิ้งตามนโยบายของตลาดต่างประเทศ ยังเติบโตได้ต่อเนื่อง เป็นไปตามแผนที่บริษัทฯ ตั้งเป้าไว้ที่ต้องการเพิ่มสัดส่วนของสินค้าที่มีความสามารถในการทำกำไรและมีความยั่งยืน

 

อย่างไรก็ตาม ในปี 2561 บริษัทฯ มีสัดส่วนค่าใช้จ่ายต่อยอดขายที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดียวกันของปีก่อน โดยมีค่าใช้จ่ายการขายและบริหาร ที่ 444.57 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 43.36 % เป็นผลมาจากค่าใช้จ่ายในการเข้าลงทุนในกลุ่มบริษัท Intelipac ที่ประเทศอังกฤษและประเทศออสเตรเลีย ประกอบกับการปรับปรุงกำลังการผลิตของกลุ่มผลิตภัณฑ์ General Packaging และขยายกำลังการผลิตของโรงงานใหม่ของกลุ่มผลิตภัณฑ์ flexible packaging รวมถึงบริษัทฯ ยังได้รับผลกระทบจากค่าเงินจ๊าด ของประเทศเมียนมาร์อ่อนค่าอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ต้นทุนวัตถุดิบที่ซื้อด้วยเงินดอลล่าร์ของบริษัทย่อยในประเทศเมียนมาร์ (ทีพีบีไอเอ็มเอส) ได้รับผลกระทบจากต้นทุนสูงขึ้น เป็นผลให้โดยรวม บริษัทฯ มีความสามารถในการทำกำไรที่ลดลงและเป็นแรงกดดันให้ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปี 2561 ขาดทุน 164.30 ล้านบาท ลดลงจากกำไรปี 2560 ที่ทำได้192.91 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ185.17

 

“เราค่อนข้างพอใจที่สามารถผลักดันให้กลุ่มสินค้า Reusable, ถุงขยะ, Multilayer Blown film, และ Flexible Packaging เติบโตได้ จะเห็นได้ว่าสินค้ากลุ่มนี้มีออเดอร์เข้ามาเพิ่มขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงแนวทางการดำเนินงานของเราที่มุ่งแผนยุทธศาสตร์ทรานฟอร์เมชั่นธุรกิจ ด้วยการปรับเปลี่ยนพอร์ตสินค้ามุ่งสร้างการเติบโตในระยะยาวมาถูกทาง ส่วนต้นทุนที่เกิดขึ้นในปี 2561 หลายส่วนเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นครั้งเดียว ซึ่งไม่มีผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปีถัดไป โดยแผนระยะยาวเราจะยังคงเน้นการเพิ่มสัดส่วนการขายและการผลิตของกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีความสามารถในการทำกำไรและมีความยั่งยืน รวมถึงเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์สำหรับกลุ่ม General Packaging เพื่อตอบรับเทรนด์อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์พลาสติกในตลาดโลก เพื่อให้ผลประกอบการของบริษัทฯ กลับมาเป็นกำไรอย่างยั่งยืนต่อไป” นายกมล กล่าว