PRS Center ศูนย์กายภาพบำบัดและผิวหนังสัตว์เลี้ยง

PRS Center ศูนย์กายภาพบำบัดและผิวหนังสัตว์เลี้ยง

น.สพ.นพกฤษณ์ จันทิก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PRS Center มาแบ่งปันประสบการณ์และเคล็ดลับการดูแลสัตว์เลี้ยงที่รักให้มีสุขภาพที่ดีกัน

ตลอดระยะเวลากว่า 5 ปีของ PRS Center ศูนย์กายภาพบำบัดและผิวหนังสัตว์เลี้ยงแห่งนี้ได้ดูแลและรักษาสัตว์เลี้ยงไปมากมายหลายเคส โดยเฉพาะกลุ่มสัตว์ที่มีปัญหาโรคกระดูกและข้อ หรือปัญหาด้านการบาดเจ็บของกระดูกสันหลัง ที่ยังไม่มีความจำเป็นต้องผ่าตัดแก้ไข ดูแลเสริมสร้างสุขภาพและความแข็งแรงให้กับสัตว์เลี้ยง ทั้งยังดูแลสุขภาพผิวหนังและร่างกายแบบองค์รวม เป็นการปฏิบัติบำรุงสภาพผิวหนังและเส้นขนของสัตว์เลี้ยงที่มีปัญหาให้กลับมามีสุขภาพที่ดี ภายใต้การควบคุมดูแลของนายสัตวแพทย์ และเจ้าหน้าที่ Vet Technician ที่มีประสบการณ์สูง

Pet Hipster ได้รับเกียรติจาก “น.สพ. นพกฤษณ์ จันทิก” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PRS Center มาแบ่งปันประสบการณ์และเคล็ดลับการดูแลสัตว์เลี้ยงที่รักให้มีสุขภาพที่ดีกัน

ทำความรู้จักกับ PRS Center

ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 5 ปีที่แล้ว ต้องบอกว่ายังไม่มีสถานพยาบาลสำหรับสัตว์เลี้ยงแบบนี้เกิดขึ้นในประเทศไทยเลยนะครับ ด้วยความที่ตัวผมเองก็ทำงานในฐานะสัตวแพทย์มาตลอดกว่า 20 ปี ถึงจุดหนึ่งก็อยากจะทำสถานพยาบาลในฝันของตัวเองขึ้นมา ที่ไม่จำเป็นต้องตรวจรักษาให้ครบทุกโรค แต่ดูแลรักษาเฉพาะโรคที่เราถนัด ประกอบกับตัวผมเองได้เคยมีโอกาสไปศึกษาของการทำกายภาพบำบัด แล้วพบว่าศาสตร์ในการทำกายภาพบำบัดในทางสัตวแพทย์ก็เป็นอีกทางเลือกในการรักษาที่จะทำให้สัตว์ป่วยได้รับการดูแลในส่วนของการฟื้นฟูสุขภาพ นอกจากนี้เราพบว่าตามสถิติแล้ว สุนัขที่ป่วย 1 ใน 4 ตัวจะป่วยด้วยโรคผิวหนัง ก็เป็นเรื่องน่าสนใจ จากตรงนี้ PRS Center จึงได้เกิดขึ้น โดย PRS Center ก็ย่อมาจาก Pet Rehab & Skin Center ตรงตัวเลยครับ

การให้บริการของ PRS Center

เราแบ่งงานบริการออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคือ “กายภาพ” ซึ่งก็จะมีทั้งกายภาพส่วนแห้งและภายภาพส่วนเปียก โดยหลักการกายภาพนั้นก็คือ ลดเจ็บ ลดปวด ลดอักเสบ ลดบวม ก็จะมีการใช้เครื่องมือต่างๆ เช่น เครื่องเลเซอร์ เครื่องกระตุ้นไฟฟ้า อัลตราซาวด์ที่เป็นคลื่นเสียง ซึ่งเครื่องมือทั้งหมดก็คือเครื่องมือแบบเดียวที่ใช้กับคนเรานี่ล่ะ เราก็เอามาปรับใช้ในสัตว์เลี้ยง แล้วจากนั้นก็เป็นขั้นตอนที่สองก็คือการฟื้นฟู เราก็จะฟื้นฟูโดยการใช้น้ำ ก็คือธาราบำบัด ซึ่งจะแบ่งได้เป็น 2 อย่าง อย่างแรกคือการว่ายน้ำ อย่างที่สองก็คือการเดินสายพานใต้น้ำ

อาจจะมีคำถามว่าทำไมจึงต้องเอาน้ำมาเกี่ยวข้อง? คือในกรณีสุนัขที่ป่วยแล้วต้องมาทำกายภาพ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นโรคข้อกระดูก หรือโรคทางระบบประสาท อย่างสุนัขที่เป็นโรคข้อสะโพกเสื่อม หัวเข่าเสื่อม หรือหมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาท ถ้าปล่อยให้เค้าวิ่งออกกำลังกายโดยธรรมชาติ มันจะทำให้เกิดแรงกระแทก แต่ถ้าเราให้เค้าวิ่งบนลู่วิ่งที่อยู่ในน้ำ น้ำหนักของน้ำจะช่วยพยุงตัวไว้ ซึ่งมีการทดลองแล้วว่าเมื่อนำสุนัขน้ำหนักตัว 10 กิโลกรัมลงไปในน้ำ น้ำหนักตัวเค้าจะเหลือแค่ 2 กิโลกรัมครึ่ง เพราะแรงพยุงของน้ำจะรับน้ำหนักไป 75% ก็ทำให้ไม่เกิดแรงกระแทก ไม่เกิดการบาดเจ็บ และเป็นการเสริมสร้างกล้ามเนื้อไปในตัว

งานในส่วนที่สองของเราก็คือ “โรคผิวหนัง” ซึ่งเคสที่เจอบ่อยที่สุดก็คือการติดเชื้อ เช่น ติดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา ยีสต์ต่างๆ รองลงมาและถือว่าสูสีไม่แพ้กันก็คือโรคภูมิแพ้ สาเหตุและอาการก็เหมือนในคนเราเลยครับ แพ้อาหาร แพ้สิ่งแวดล้อม แพ้สัมผัส แพ้แมลงสัตว์กัดต่อย ซึ่งเราก็จะมีวิธีการในการวินิจฉัยเพื่อหาสาเหตุได้อย่างถูกต้องว่าเขาแพ้อะไร

ที่นี่เรามีทีมสัตวแพทย์อยู่ประมาณ 4 – 5 ท่าน ซึ่งจริงๆ แล้วในบ้านเรายังไม่สามารถเรียกว่าเป็นสัตวแพทย์เฉพาะทางหรือสัตวแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางได้นะครับ แต่ก็ต้องบอกว่าพวกเราคือแพทย์ที่มีความสนใจในด้านนั้นๆ และศึกษาอย่างจริงจัง แล้วมารวมตัวกันทำงานด้วยกัน ซึ่งหากจะต้องพูดตรงๆ ก็ต้องบอกว่าไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้วที่สัตวแพทย์หนึ่งท่านจะเก่งในทุกโรค อย่างไรก็ตาม ที่นี่เราจะไม่ได้ใช้คำว่าสัตวแพทย์เฉพาะทางหรือผู้เชี่ยวชาญ แต่เรียกว่าเราสนใจทางด้านนี้จะดีกว่าครับ

น.สพ.นพกฤษณ์ จันทิก 
CEO .,PRS Center