วิภาวดี-จตุจักร ทำเลทองแห่งอนาคต

วิภาวดี-จตุจักร ทำเลทองแห่งอนาคต

LPN ปักหมุดวิภาวดี จากที่พักอาศัยสู่ย่านธุรกิจใหม่แห่งเมืองกรุง ปั้นลุมพินีทาวเวอร์ ตอบโจทย์ทุกสไตล์การลงทุน

หากมองว่าถนนวิภาวดีรังสิต กำลังกลายร่างเป็นถนนเส้นธุรกิจแห่งใหม่ ก็อาจไม่แปลกแต่อย่างใด เพราะภายหลังจากมีรถไฟฟ้าBTSเข้ามาในพื้นที่ตั้งแต่ปี 2542ก็ได้มีการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์มากขึ้น ทั้งอาคารสำนักงาน และศูนย์การค้า เช่น อาคารสำนักงานใหญ่ธ.ทหารไทย,อาคารสำนักงานซันทาวเวอร์, อาคารสำนักงานใหญ่ ปตท.,อาคารเอ็นเนอยี่ คอมเพล็กซ์, ยูเนี่ยนมอลล์ หรือแม้กระทั่งห้างเซ็นทรัล พลาซา ลาดพร้าว ก็ยังมีการรีโนเวทปรับปรุงโฉมใหม่ตลอดจนมีร้านค้า และอาคารพาณิชย์ต่างๆ มากขึ้น

จากที่พักอาศัยสู่ย่านธุรกิจใหม่แห่งเมืองกรุง

แม้อดีตย่านนี้ถือเป็นแหล่งพักอาศัย แต่เมื่อสาธารณูปโภคต่างๆ เพิ่มขึ้นส่งผลให้ราคาที่ดินโดยรอบขยับตัวตาม โดยการประเมินราคาที่ดินของกรมธนารักษ์รอบปี 2559-2562 ถ.วิภาวดีรังสิต(เขตห้วยขวาง)พญาไทดินแดงอยู่ที่ 220,000 บาทต่อตารางวาถ.วิภาวดีรังสิต(เขตจตุจักร)อยู่ที่ 150,000-260,000 บาทต่อตารางวา และถ.วิภาวดีรังสิต(เขตดอนเมือง) อยู่ที่ 120,000บาทต่อตารางวาและคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีกเมื่อโครงการเมกะโปรเจกต์ต่างๆโดยเฉพาะกับโครงการจุดเชื่อมต่อระบบขนส่งมวลชนทางรางขนาดใหญ่ทั้งรถไฟธรรมดารถไฟฟ้า และรถไฟความเร็วสูง ที่เชื่อมโยงกรุงเทพฯ และปริมณฑล ตลอดจนเชื่อมต่อในระดับภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นภาคเหนือภาคตะวันออกเฉียงเหนือแล้วเสร็จก็จะได้เห็นพาเหรดการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ผุดขึ้นมากมาย ทั้งคอนโดมิเนียมเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ หรืออาคารสำนักงาน เพื่อรองรับการขยายตัวของพื้นที่อย่างแน่นอน

มิกซ์ยูส เทรนด์ใหม่แห่งโลกอสังหาริมทรัพย์

อย่างไรก็ตาม รูปแบบของการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่คาดว่าจะได้รับความนิยมต่อจากนี้อาจไม่ใช่การพัฒนาที่อยู่อาศัยแบบโดดๆ อีกต่อไป แต่จะเป็นการการผสมผสานโครงการให้มีความหลากหลาย เพื่อกำไรและความคุ้มค่าในด้านประโยชน์ใช้สอย หรือที่เรียกกันว่า “มิกซ์ยูส (Mixed-use Real Estate)” คือ เป็นที่อยู่อาศัย (Residential Real Estate) และอาคารเพื่อการพาณิชย์ (Commercial Real Estate)โดยมิกซ์ยูสที่น่าสนใจส่วนใหญ่เป็นโครงการที่มีทั้งศูนย์การค้า สำนักงาน แหล่งความบันเทิงและที่อยู่อาศัยซึ่งการพัฒนาโครงการในรูปแบบมิกซ์ยูสสามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่าการพัฒนาโครงการในรูปแบบอื่นๆ ทั้งยังมีผลดีต่อการพัฒนาเมืองที่ส่วนใหญ่ได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐ เพราะที่ดินในส่วนนั้นจะสามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

และหากมองในเชิงของนักลงทุนรายย่อยที่ซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อเก็งกำไรยังสามารถใช้ความครบครันเป็นตัวปั้นมูลค่าให้กับอสังหาริมทรัพย์ที่ถือครองได้อย่างดีอีกด้วยเนื่องจากองค์ประกอบของมิกซ์ยูสเข้าข่ายสินทรัพย์ที่ไม่มีวันด้อยค่าจากราคามูลค่าที่สามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นตามกาลเวลา โดยส่วนใหญ่โครงการมิกซ์ยูสจะถูกเลือกให้อยู่ในแหล่งที่มีแนวโน้มความเจริญในอนาคต เช่น บนทำเลที่คาดว่ามีรถไฟฟ้าผ่าน หรือมีห้างชั้นนำมาเปิดบริการ ทำให้บางทีราคาก็ทำท่าจะพุ่งแรงแซงไปก่อนรถไฟฟ้าเสียอีก และนี่จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ดึงดูดผู้ที่สนใจให้ก้าวเข้ามาสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ภายใต้ของปัจจัยตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่เข้มข้น และตลาดคอนโดที่ยังคงเติบโตทั้งจำนวนยูนิตและราคา ซึ่งสวนทางกับพื้นที่ที่ขยับขนาดให้เล็กลงเพราะคนมีความต้องการซื้อด้วยเหตุผลหลายอย่าง ได้แก่ ที่อยู่อาศัยใหม่ บ้านหลังที่สองใกล้ที่ทำงานลงทุนเก็บเป็นทรัพย์สินหรือมรดกให้คนรุ่นหลังเป็นต้น

LPN ปักหมุดวิภาวดี ปั้นลุมพินีทาวเวอร์

ตอบโจทย์ทุกสไตล์การลงทุน

พอกล่าวถึงโครงการมิกซ์ยูสและการเติบโตของย่านวิภาวดีรังสิตแล้วบริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN ได้เปิดตัวโครงการ “ลุมพินี พาร์ค วิภาวดี จตุจักร” ไปเมื่อกลางปีที่ผ่านมา ตั้งบนถนนวิภาวดี-จตุจักร ซอยวิภาวดี 3 เนื้อที่ประมาณ 8 ไร่เศษ ลักษณะโครงการเป็นคอนโดมิกซ์ยูส จำนวน 4 อาคาร ประกอบด้วย อาคารสำนักงาน จำนวน 2 อาคาร (A และ B) ภายใต้ชื่อ “ลุมพินี ทาวเวอร์ วิภาวดี-จตุจักร” และ อาคารชุดพักอาศัย จำนวน 2 อาคาร (C และ D)

ในส่วนของการพัฒนาโครงการดังกล่าว ถือเป็นการต่อยอดการลงทุนด้วยกลยุทธ์ขยายธุรกิจ Recurring Income อีกครั้งของ LPN โดยเฉพาะในส่วนของโซนสำนักงานอาคาร A และ B หลังจากเคยประสบความสำเร็จอย่างสูงจากการพัฒนาอาคารสำนักงานไปเมื่อปี 2532 กับโครงการลุมพินี ทาวเวอร์ (ถ.พระราม 4) และ แอล.พี.เอ็น.ทาวเวอร์ (ถ.พระราม 3)

การเลือกที่ตั้งโครงการในทำเลที่สะดวกบนถ.วิภาวดีรังสิต ตอบโจทย์กลุ่มบริษัทที่กำลังมองหาทำเลสำนักงานใหม่ที่มีศักยภาพเพราะปัจจุบันมีบริษัทจำนวนมากที่ต้องการสำนักงานในย่านวิภาวดี-จตุจักร เพื่อจะได้อยู่ใกล้ลูกค้า ซัพพลายเออร์ หรือพนักงาน ที่ส่วนใหญ่อยู่ในย่านดังกล่าว หรืออยู่ห่างออกไปในโซนด้านเหนือของกรุงเทพฯขณะที่ยังคงสามารถเดินทางสู่ศูนย์กลางธุรกิจของกรุงเทพฯ ได้สะดวก


ความน่าสนใจของโครงการสำหรับผู้ประกอบการที่กำลังมองหาอาคารสำนักงาน ไม่ใช่แค่เรื่องศักยภาพทำเล แต่ LPN ยังคงมีรูปแบบการตกแต่งอาคารสำนักงานให้ผู้ประกอบการได้เลือกให้เหมาะสมกับงบประมาณที่มีอยู่ หนึ่งทางเลือกให้กับลูกค้าในการอำนวยความสะดวกนอกเหนือไปจากการส่งมอบอาคารสำนักงานทั่วไปที่มักจะส่งมอบแค่ห้องเปล่า (Bare Shell)นอกจากนั้นรูปลักษณ์โครงการยังออกแบบตามมาตรฐานอาคารเขียว “TREES” (CS) ที่คำนึงถึงการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม มีการส่งเสริมประสิทธิภาพ และสุขภาวะที่ดีของผู้ใช้งานอาคาร ผ่านการออกแบบ การเลือกใช้วัสดุที่มีมลพิษต่ำ และการก่อสร้างที่มีมาตรฐาน ช่วยลดอัตราการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นจากมลพิษและฝุ่นละอองภายในอาคาร เพิ่มความปลอดภัย ประสิทธิภาพ และความสุขสบายในการทำงานภายใต้แนวคิด “Green Inspired 24/7”

อีกทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิผลในการทำงานให้ดีขึ้น และช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน และการบำรุงรักษาตลอดช่วงอายุการใช้งานของอาคาร ส่งผลให้โดยภาพรวมอาคารจะมี NPV (Net Present Value) สูงกว่า และมี Discount Payback Period เร็วกว่าอาคารสำนักงานทั่วไป ดังนั้น เชื่อว่าโครงการจะประสบความสำเร็จในด้านการปล่อยเช่าและขายภายในเวลาไม่นาน เพราะย่านนี้ยังมีราคาที่ดินต่อตารางเมตรในการพัฒนาสำนักงานไม่สูงเท่าในเขต CBD ชั้นในอย่างสุขุมวิทหรือสีลม จึงเหมาะต่อการตอบโจทย์ผู้ที่อยากมีสำนักงานในย่านพัฒนาใหม่แห่งอนาคตได้อย่างดีเยี่ยม