ผู้เชี่ยวชาญเรียกร้องทั่วโลกปรับปรุงการวินิจฉัยโรคโรซาเซีย

ผู้เชี่ยวชาญเรียกร้องทั่วโลกปรับปรุงการวินิจฉัยโรคโรซาเซีย

ผู้เชี่ยวชาญเรียกร้องทั่วโลกปรับปรุงการวินิจฉัยผู้ป่วยโรคโรซาเซียระดับ 'High Burden'

ผู้เชี่ยวชาญเรียกร้องทั่วโลกปรับปรุงการวินิจฉัยผู้ป่วยโรคโรซาเซียระดับ 'High Burden'

- ผลการวิเคราะห์เพิ่มเติมจากข้อมูลการสำรวจทั่วโลกพบว่าคุณภาพชีวิตของมนุษย์ได้รับผลกระทบจากหลากหลายปัจจัยที่นอกเหนือไปจากความรุนแรงของโรคโรซาเซียเพียงอย่างเดียว

 

ผลการวิเคราะห์เพิ่มเติมจากข้อมูลการสำรวจทั่วโลกซึ่งจัดทำและนำเสนอไปก่อนหน้านี้ ในรายงาน ‘Rosacea: Beyond the visible'’ ซึ่งเขียนโดยผู้เชี่ยวชาญนั้น สามารถช่วยเหลือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขอนามัย (HCPs) ในการระบุลักษณะทั่วไปของผู้ป่วยโรคโรซาเรียที่มีภาระโรคสูง หรือ High Burden* (HB) เพื่อเพิ่มหลักเกณฑ์ในการรักษาผู้ป่วยให้ดียิ่งขึ้น ผลการวิเคราะห์ซึ่งนำเสนอในงานประชุมสัมมนา European Academy of Dermatology and Venerology ครั้งที่ 27 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวานนี้ บ่งชี้ว่าการกำหนดคำนิยามผู้ป่วย HB ให้กว้างขึ้นเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อช่วยลดภาระในกิจวัตรประจำวัน

 

(โลโก้: http://mma.prnewswire.com/media/554005/Galderma_Logo.jpg )

 

การวิเคราะห์ได้จำแนกผู้ป่วย HB โดยดูว่าความรุนแรงของโรคส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต (QoL) ของพวกเขาอย่างไร ซึ่งมีขอบเขตไปจนถึงอิทธิพลต่อพฤติกรรมพวกเขาและความต้องการรับการรักษา[1]

 

“คนที่เป็นโรคโรซาเซียมักตัดสินจากสิ่งที่เห็น ซึ่งส่งผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน หากโรคโรซาเซียของพวกเขารุนแรง อาการของโรคก็น่าจะรุนแรงด้วยเช่นกัน โดยมีอาการตั้งแต่คันและแสบร้อนไปจนถึงมีผื่นแดงบนใบหน้า อย่างไรก็ตาม แม้คนที่มีอาการของโรคโรซาเซียไม่รุนแรงก็มีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตด้วยเช่นกัน ดังนั้นจึงมีข้อเสนอแนะว่าการวินิจฉัยความรุนแรงของโรคในทางการแพทย์เพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ” Prof. Dr. Uwe Gieler แห่งแผนก Dermatology and Clinic of Psychosomatic Medicine and Psychotherapy มหาวิทยาลัย Justus-Liebig-University of Giessen ประเทศเยอรมนี และหนึ่งในผู้เขียนรายงาน Rosacea: Beyond the visible กล่าว “การปรับปรุงการวินิจฉัยของผู้เชี่ยวชาญด้านประชากรศาสตร์ แพทย์โรคผิวหนัง และเจ้าหน้าที่เฮลธ์แคร์อื่นๆ จะช่วยยกระดับการรักษาเพื่อให้สอดคล้องตามความต้องการส่วนบุคคลและท้ายที่สุดจะช่วยดูแลผู้ที่เป็นโรคผิวหนังเรื้อรังได้ดียิ่งขึ้น”

 

ข้อมูลเผยให้เห็นว่า ผู้ป่วยโรคโรซาเซียขั้น HB ส่วนใหญ่มีอายุไม่มาก มีงานทำ และเป็นในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง เมื่อเทียบกับผู้ป่วยที่มีภาระโรคน้อยกว่า

 

อีกหนึ่งลักษณะที่กำหนดไว้ก็คืออาการแพ้ของผิวหนัง (เช่น คัน 48% vs 37% และ เจ็บ 23% vs 13%) เปรียบเทียบกับผู้ป่วยที่มีอาการน้อยกว่า ตลอดช่วงการตรวจอาการ 12 เดือน

 

ความเสี่ยงของ HB ถูกกระทบจากความรุนแรงของโรค อย่างไรก็ตาม สภาพของโรคอาจเกี่ยวข้องกับความรุนแรงของโรซาเซีย เมื่อตรวจอาการนาน 12 เดือน ผู้ป่วย HB มีความเสี่ยงที่จะรับรู้ถึงผลกระทบต่อกิจวัตรประจำวันเพิ่มขึ้น เช่น การเข้ารับการรักษาผิวหนัง ตลอดจนรู้สึกอึดอัดใจกับโรคที่เป็นเมื่อเทียบกับผู้ป่วยที่ไม่ใช่ HB ส่วนปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ประกอบด้วยประวัติการป่วยโรคนี้ของคนในครอบครัวและการเยี่ยมห้องฉุกเฉินที่เกี่ยวกับโรคโรซาเซีย  

 

ผู้เชี่ยวชาญได้ข้อสรุปว่าแพทย์ที่ให้การรักษาผู้ป่วยโรคโรซาเซียควรเพิ่มคำถามเกี่ยวกับการรักษาในทุกๆ วัน เพื่อให้แน่ใจว่าการรักษาจะสอดคล้องกับอาการของผู้ป่วย ไม่ใช่แค่ความรุนแรงของโรคเท่านั้น

 

สื่อนำเสนอมีชื่อว่า "Defining High Burden patients" (Gieler, U. et al., 27th European Academy of Dermatology and Venerology (EADV) Congress, 13 September 2018)

 

*ผู้ป่วยถูกจัดอยู่ในกลุ่ม High Burden (HB) เมื่อ 4 โดเมนเป็นบวก (เส้นแบ่งกำหนดโดยค่ามัธยฐานคนร่วมรุ่น)

 


โดเมน คำถามตัวแทน เส้นแบ่ง

 

QoLผลกระทบโดยรวมต่อคุณภาพชีวิต (0-10)คะแนน >5

 

ไลฟ์สไตล์ ระดับการปรับพฤติกรรม (0-10) คะแนน >6

 

ฐานะ ยินดีจ่ายเพื่อรักษาให้หายขาด >20% ของรายได้ต่อเดือน


จิตใจ/อารมณ์ ยินดีปล่อยให้เวลาผ่านไปก่อนรักษา >6 เดือน

 


แหล่งข้อมูลมัลติมีเดียที่เกี่ยวข้อง สามารถรับชมได้ที่

http://www.epresspack.net/galderma-rosacea

 

เกี่ยวกับโรคโรซาเซีย

 

โรคโรซาเซียเป็นโรคผิวหนังอักเสบทั่วไปซึ่งมีลักษณะทางคลินิกหลากหลาย โดยมากจะมีอาการหน้าแดง เป็นผื่นแดง และอักเสบ ส่วนใหญ่จะเกิดที่ตรงกลางของใบหน้า เช่น คางและจมูก โรคนี้สามารถเป็นได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง แต่ส่วนใหญ่เกิดหลังอายุ 30 ปี นอกจากนี้คนเป็นโรคนี้ยังมีอาการปวด แสบร้อน หรือผิวหนังแพ้ง่าย รวมถึงมีอาการที่นัยน์ตาด้วย เช่น ตาแดง ตาแห้ง หรือคันที่ตา

 

ถึงแม้สาเหตุของโรคนี้ยังเป็นที่ถกเถียง แต่มีปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดโรคมากมาย ได้แก่ อาหารเผ็ด แอลกอฮอล์ ความเครียด การสัมผัสกับแสงอาทิตย์/รังสี UV การอาบน้ำร้อนและดื่มเครื่องดื่มร้อน นอกจากนี้ในบางกรณีอาจพบ Demodex ซึ่งเป็นเห็บที่ไม่มีอันตรายในผิวหนังของคนที่เป็นโรคโรซาเซียด้วย

 

โรคโรซาเซียอาจรุนแรงขึ้นหากไม่รักษา คนที่สงสัยว่าเป็นโรคนี้ควรพบแพทย์ผิวหนังหรือเจ้าหน้าที่สุขอนามัยเพื่อให้วินิจฉัยและปรึกษาวิธีการรักษาที่ถูกต้อง เพราะโรซาเซียเป็นโรคที่มีอาการเด่นชัด ซึ่งทำให้คนเป็นโรคบางคนรู้สึกกระดากอายและวิตกกังวล หรืออาจทำให้รู้สึกคับข้องใจและส่งผลกระทบด้านลบต่อการใช้ชีวิตในสังคม

 

เกี่ยวกับการสำรวจ BURDEN   

 

การสำรวจ BURDEN พัฒนาโดย Kantar Health ในฐานะแบบสำรวจออนไลน์ที่ดูแลจัดการเองและสนับสนุนโดย Galderma งานวิจัยนี้สำรวจจากผู้ป่วย 710 คนที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคโรซาเซีย รวมทั้งหมอผิวหนังและแพทย์ผู้ชำนวญทั่วไป (GPs) จำนวน 554 คน ใน 6 ประเทศ (ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี สหราชอาณาจักร แคนาดา และสหรัฐอเมริกา) โดยมีการถามกลุ่มตัวอย่างเกี่ยวกับประสบการณ์การใช้ชีวิตหรือรักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคโรซาเซีย

 

ผู้เข้าร่วมจะถูกคัดเลือกโดยคณะทำงานออนไลน์ของ Kantar และเพื่อที่จะขยายกลุ่มตัวอย่างให้ใหญ่ขึ้น จึงไม่มีการกำหนดโควตาแต่อย่างใด ด้วยเหตุนี้กลุ่มตัวอย่างจึงไม่ใช่ตัวแทนประชากรที่เป็นโรคโรซาเซียของแต่ละประเทศ ดังนั้นผลการศึกษาชิ้นนี้จึงมีความเอนเอียงในแง่การคัดเลือกและไม่สามารถนำไปใช้อ้างอิงกลุ่มประชากรที่เป็นโรคโรซาเซียทั้งหมด  

 

เกี่ยวกับ Galderma  

 

Galderma เป็นธุรกิจโซลูชั่นการแพทย์ของ Nestlé Skin Health ก่อตั้งในปี 1981 และปัจจุบันมีการดำเนินงานในกว่า 100 ประเทศ ด้วยพอร์ตโฟลิโอผลิตภัณฑ์ที่กว้างขวางไปจนถึงการรักษาโรคผิวหนังต่างๆ บริษัทเป็นพาร์ทเนอร์กับผู้ชำนาญการด้านเฮลธ์แคร์ทั่วโลก เพื่อตอบโจทย์ด้านสุขภาพผิวหนังตลอดชีวิตของผู้คน Galderma เป็นผู้นำในด้านการวิจัยและพัฒนาโซลูชั่นที่มีความเป็นวิทยาศาสตร์และได้รับการพิสูจน์ในทางการแพทย์สำหรับผิวหนัง สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดเยี่ยมชม http://www.galderma.com

 

อ้างอิง:   

 

Galderma data on file.

ที่มา: Galderma