สมอ. แถลงผลการดำเนินงาน มุ่งสู่นโยบาย Thailand 4.0

สมอ. แถลงผลการดำเนินงาน มุ่งสู่นโยบาย Thailand 4.0

สมอ. แถลงผล 10 เดือน ขานรับนโยบายรัฐบาล เดินหน้ากำหนดมาตรฐานแล้วกว่า 180 เรื่อง ตามนโยบายอุตสาหกรรม 4.0 มุ่งสู่อุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve)


 

นายพิสิฐ รังสฤษฎ์วุฒิกุล เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เปิดเผยผลการดำเนินงานรอบ 10 เดือน ช่วงเดือนตุลาคม 2559-กรกฎาคม 2560 ว่า สมอ. ได้กำหนดมาตรฐานไปแล้ว 187 เรื่อง แบ่งเป็น 1) กลุ่มอุตสาหกรรมเดิม (S-Curve) 8 เรื่อง 2) กลุ่มอุตสาหกรรมอนาคต (New      S-Curve) จำนวน 21 เรื่อง 3) กลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ อุตสาหกรรมยางและผลิตภัณฑ์ยาง จำนวน 124 มาตรฐาน 4) ตามความต้องการของภาคอุตสาหกรรม จำนวน 32 เรื่อง รวมทั้งสิ้น 187 เรื่อง คาดว่าสิ้นเดือนกันยายนนี้จะสามารถกำหนดมาตรฐานได้ไม่ต่ำกว่า 200 เรื่อง

 

นอกจากนี้ สมอ. ได้ออกใบอนุญาตให้กับผู้ทำ ผู้นำเข้า ไปแล้วทั้งสิ้น 4,058 ฉบับ ตามกระบวนการออกใบอนุญาตที่ปรับปรุงใหม่ ซึ่งมีผลตั้งแต่ 15 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยใช้ระยะเวลาการออกใบอนุญาตเฉลี่ยเพียง 11 วันทำการ/เรื่องเท่านั้นเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการ ลดความซ้ำซ้อน พร้อมทั้งเดินหน้านำระบบสารสนเทศมาใช้ในการออกใบอนุญาต (E-Licence) เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการในการยื่นขอใบอนุญาต คาดว่าปลายปีนี้จะเริ่มใช้ระบบดังกล่าวได้

 

ส่วนความคืบหน้าโครงการศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ ณ เขตสวนป่าลาดกระทิง ตำบลลาดกระทิง อำเภอสนามชัยเขต จังหวัดฉะเชิงเทรา ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการปรับพื้นที่จำนวน 200 ไร่ เพื่อดำเนินการโครงการระยะที่ 1 ส่วนทดสอบยางล้อตามมาตรฐาน UN R117 และอาคารสำนักงานพร้อมห้องปฏิบัติการและสาธารณูปโภค แล้วเสร็จในเดือนเมษายน 2561ขณะนี้ สมอ. อยู่ระหว่างการขึ้นร่างประกาศและเอกสารประกวดราคา และ TOR เพื่อให้วิจารณ์

 

เลขาธิการ สมอ. กล่าวเพิ่มเติมว่า ในภารกิจด้านการตรวจติดตาม สมอ. ได้ดำเนินการตรวจสอบคุมเข้มร้านค้าอย่างใกล้ชิด เฝ้าระวังการผลิตและจำหน่ายสินค้าที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน โดยช่วงเดือนตุลาคม 2559-มิถุนายน 2560 ได้ดำเนินการยึดอายัดผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มาตรฐานมูลค่ารวม 1,512.3862 ล้านบาท แบ่งเป็น 1) ผลิตภัณฑ์เหล็ก มูลค่า 1,383.6897 ล้านบาท 2) ผลิตภัณฑ์ไฟฟ้า มูลค่า 117.4480 ล้านบาท    3) ผลิตภัณฑ์ยานยนต์ มูลค่า 8.2940 ล้านบาท 4) ผลิตภัณฑ์โภคภัณฑ์ มูลค่า 1.3474 ล้านบาท 5) ผลิตภัณฑ์วัสดุก่อสร้าง มูลค่า 0.8020 ล้านบาท ซึ่งหากพบว่ายังมีผู้ประกอบการและร้านค้ากระทำผิด จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายทันทีและมีบทลงโทษตามฐานความผิด

 

สำหรับโครงการ ร้าน มอก. มีผู้ประกอบการสมัครเข้าร่วมโครงการเพิ่มเติมอีกจำนวน 42 ราย 54 สาขา ทั้งร้านค้าทั่วไป และร้านโมเดิร์นเทรด ซึ่งหากผ่านเกณฑ์ของ สมอ. ทั้งหมด ก็จะมีผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการทั้งสิ้น 50 ราย 488 สาขาทั่วประเทศ และขณะนี้อยู่ระหว่างการประสานงานเชิญชวน บริษัท ซี พี ออล จำกัด (มหาชน) หรือ “เซฟเว่น อีเลฟเว่น” เข้าร่วมโครงการ หากบริษัท ซี พี ออลฯ ยินดีเข้าร่วมโครงการจะมีร้าน มอก. เพิ่มขึ้น ที่จะเป็นทางเลือกให้ประชาชนผู้บริโภคเลือกซื้อสินค้ามาตรฐาน มอก. ได้โดยสะดวกมากยิ่งขึ้น

 

 

นอกจากนี้ สมอ. ยังได้เตรียมความพร้อมผู้ประกอบการรองรับโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน โดยการให้ความรู้เกี่ยวกับการทำผลิตภัณฑ์เหล็กที่มีพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน แก่ผู้ผลิตเหล็กในประเทศ เพื่อเตรียมความพร้อมให้สามารถผลิตเหล็กให้ได้ตามข้อกำหนดของโครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ของการรถไฟแห่งประเทศไทย และรองรับการดำเนินการก่อสร้างโครงการดังกล่าว นอกจากนี้ ยังเป็นการส่งเสริมให้ใช้วัสดุที่ผลิตได้ภายในประเทศตามนโยบายรัฐบาล ซึ่งจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างเฟสแรก ช่วงกรุงเทพ - นครราชสีมา ระยะทาง 252 กิโลเมตร คาดว่าต้องใช้ปริมาณเหล็กสูงหลายแสนตัน

และงานสำคัญอีกเรื่องของ สมอ. คือ การปรับโครงสร้างของ สมอ. ใหม่ เพื่อขับเคลื่อนนโยบายที่สำคัญเร่งด่วนของรัฐบาลทั้ง Thailand 4.0 S-Curve New S-Curve และสร้างศูนย์บ่มเพาะด้านการมาตรฐาน เพื่อเตรียมเป็นศูนย์กลางด้านการมาตรฐานของ AEC ตลอดจนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและการพัฒนาที่ยั่งยืน นอกจากนี้ สมอ. จะมีภารกิจเพิ่มขึ้นในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการมาตรฐานเพื่อรองรับการถ่ายโอนงานตามมติ ครม.ความตกลงยอมรับร่วมด้านการมาตรฐาน (MRA) เพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าและการเติบโตของอุตสาหกรรม ซึ่งคาดว่าโครงสร้างใหม่นี้จะเข้า ครม. ภายในเดือนนี้ หลังจากนั้นสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา จะจัดทำประกาศกฎกระทรวงส่งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมลงนามเพื่อประกาศใช้ต่อไป