บันได 9 ขั้น สู่โครงสร้างพื้นฐานพัฒนาธุรกิจ

บันได 9 ขั้น สู่โครงสร้างพื้นฐานพัฒนาธุรกิจ

ตอบสนองการทำงานแบบเรียลไทม์ขององค์กร

 

ปัจจุบันความคาดหวังของลูกค้า และผู้ใช้งานในองค์กร ที่ต้องการบริการแบบเรียลไทม์กลายเป็นแรงผลักดันความต้องการของธุรกิจให้ต้องทำงานแบบต่อเนื่องตลอดเวลาและเพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการเหล่านี้ได้องค์กรจำเป็นต้องใช้นวัตกรรมโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศที่สามารถรองรับทั้งแนวโน้มการทำงานแบบเคลื่อนที่และพร้อมบริหารจัดการการขยายตัวของข้อมูลปริมาณมหาศาล รวมทั้งสามารถช่วยลดความเสี่ยงควบคู่ไปกับการลดต้นทุนต่างๆและเพื่อเป็นการเพิ่มศักยภาพทางการแข่งขันเทคโนโลยีด้านดาต้าเซนเตอร์จึงต้องมีพื้นฐานโดยใช้ซอฟต์แวร์เป็นตัวกำหนดการบริหารจัดการแบบอัตโนมัติมีสมรรถนะสูงพร้อมทำงานตลอดเวลาเป็นระบบเวอร์ชวลไลเซชั่น สามารถรองรับการขยายตัว และตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงได้ดี

บริษัทฮิตาชิดาต้าซิสเต็มส์พีทีอีลิมิเต็ด มีข้อแนะนำใน 9 ขั้นตอนเพื่อเป็นแนวทางในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศให้พร้อมทำงานแบบต่อเนื่องตลอดเวลา ตอบสนองการทำงานแบบเรียลไทม์ของธุรกิจ ดังต่อไปนี้

1.ประเมินและวิเคราะห์ความสำคัญ
โครงสร้างพื้นฐานของระบบสารสนเทศมีการขยายตัวและมีความซับซ้อนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องระบบเซิฟเวอร์แบบเวอร์ชวลระบบจัดเก็บข้อมูลและเครือข่ายที่แยกต่างหากจากกัน จะทำให้องค์กรไม่สามารถใช้ประโยชน์สูงสุดและบริหารระบบสารสนเทศที่มีอยู่แบบครบวงจรฝ่ายไอทีควรทำการประเมินระบบที่มีอยู่นี้ โดยจัดลำดับความสำคัญของแอพลิเคชั่นและข้อมูลที่มีต่อธุรกิจต้นทุนและประโยชน์ของโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ในปัจจุบันและระดับการปกป้องที่เหมาะสมการวิเคราะห์นี้ควรรวมถึง ข้อกำหนดและปริมาณความจุของข้อมูลสำหรับเซิฟเวอร์ระบบเวอร์ชวลNASและfile sharingตลอดจนประเมินfootprintและสมรรถนะของเครือข่าย

2.รวมระบบ (Consolidate)
เนื่องจากความต้องการการเก็บข้อมูลแบบที่ไม่มีโครงสร้าง (unstructured data) มีเพิ่มขึ้น ทำให้โซลูชั่นระบบจัดเก็บข้อมูลแบบบล็อก และไฟล์ ที่แยกจากกันแบบเดิมๆไม่เพียงพออีกต่อไปในการสร้างความคุ้มทุนในเชิงธุรกิจการทำรวมระบบหรือconsolidationจึงเข้ามามีบทบาทในการช่วย ลดต้นทุนโดยรวมไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการลดต้นทุนการลงทุน ลดต้นทุนด้านสาธารณูปโภคและลดการใช้พื้นที่วิธีการรวมข้อมูลแบบบล็อกไฟล์และออบเจ็กต์อย่างชาญฉลาดบนแพลตฟอร์มเดียวกัน จะช่วยยืดอายุให้กับอุปกรณ์การจัดเก็บข้อมูลต่างๆนอกจากนี้การลดการเก็บข้อมูลที่แยกในส่วนต่างๆกัน(ไซโล)ยังช่วยให้การวิเคราะห์ข้อมูลการใช้ประโยชน์จากหน่วยความจำที่ไม่ได้ใช้งานการบริหารจัดการข้อมูลและการตอบสนองต่อเป้าหมายการบริการเป็นไปได้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น



3. ทำทุกอย่างให้เป็นเวอร์ชวล
การแปลงข้อมูลในไซโลให้เป็นแบบคอนเวอร์จและเวอร์ชวล จะช่วยเพิ่มมูลค่าสมรรถภาพและพื้นที่ความจุสำหรับการใช้งานอื่นๆการจะได้ประโยชน์สูงสุดจากการทำเซิฟเวอร์ระบบเวอร์ชวลนั้นควรจะต้องทำระบบจัดเก็บข้อมูลแบบเวอร์ชวลด้วย เพื่อทำให้เกิดการรวมข้อมูลและประโยชน์ที่ยืดหยุ่นในระดับเดียวกับเซิฟเวอร์นอกจากนี้ต้องมีการทำtieringเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบและการเข้าถึงข้อมูล

4.เพิ่มความเร็วด้วยFlash
แอพลิเคชั่นที่สำคัญทางธุรกิจต้องการระบบที่มีความสามารถในการตอบสนองการเข้าถึงข้อมูลได้สูงและรวดเร็ว เพื่อเพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกิจดังนั้นจึงควรเลือกใช้เทคโนโลยีflashที่สามารถขยายตัวได้ตามปริมาณการเติบโตที่ต้องการโซลูชั่นflashที่เหมาะสมยังช่วยลดความหนาแน่นแบบcost-per-bitได้ดีกว่าวิธีการทำcommodity flashรวมถึงมีความยืดหยุ่นในการผสมผสานสื่อต่างๆให้สอดคล้องกับต้นทุนและประสิทธิภาพที่เหมาะสม

5.ระบบการทำงานที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
การสร้างโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศที่พร้อมทำงานแบบต่อเนื่องตลอดเวลาต้องใช้ระบบอัตโนมัติในการกำหนดระบบการทำงานให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันซึ่งระบบอัตโนมัติในที่นี้หมายถึงการใช้ซอฟแวร์หรืออุปกรณ์ที่ชาญฉลาดฝังตัวอยู่ภายในเพื่อตรวจสอบสถานะที่มีการเปลี่ยนแปลงและจัดการทรัพยากรให้ได้ประโยชน์สูงสุดระบบอัตโนมัติไม่เพียงช่วยลดค่าใช้จ่ายการดำเนินงานและป้องกันการขัดจังหวะการทำงานโดยคนหากยังช่วยแก้ปัญหาด้านประสิทธิภาพและการติดขัดของระบบโดยการย้ายข้อมูลไปยังtierที่เหมาะสมในช่วงเวลาที่เหมาะสมการแบ่งประเภทข้อมูลแบบpolicy-basedยังช่วยลดความซับซ้อนในการจัดการแอพลิเคชั่นและการบริการข้อมูล

6.ปกป้องข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ
ด้วยปริมาณข้อมูลที่เพิ่มขึ้นอย่างมากจากอุปกรณ์ประเภทต่างๆทำให้ระบบการปกป้องข้อมูลรูปแบบเดิมไม่สามารถตอบสนองความต้องการขององค์กรในปัจจุบันได้การปกป้องข้อมูลและตอบสนองต่อกฎระเบียบต่างๆจำเป็นต้องอาศัยการลดปริมาณที่ข้อมูลตามความสำคัญที่ได้รับการปกป้องเพิ่มประสิทธิภาพในการสำรองและกู้คืนข้อมูลรวมถึงการจัดการข้อมูลที่ง่ายขึ้นการลดปริมาณข้อมูลตามความสำคัญที่ได้รับการปกป้องเท่ากับเป็นการลดภาระให้กับระบบการทำงานหลัก(production systems)และลดต้นทุนด้านระบบการจัดเก็บหลักซึ่งสามารถทำได้โดยการทำarchive หรือtierแบบpolicy-basedให้กับแพลตฟอร์มการจัดเก็บข้อมูลแบบself-protectedเทคโนโลยีการทำsnapshot, cloningหรือการทำreplicationจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการสำรองและกู้คืนข้อมูลได้การจัดการเทคโนโลยีการทำซ้ำข้อมูลในระบบจัดเก็บจากหน้าอินเตอร์เฟสกลางจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการบริหารและการรายงานด้านการปกป้องข้อมูล

7.สำรองข้อมูลให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
การสำรองข้อมูลของฐานข้อมูลขนาดใหญ่โดยไม่กระทบต่อการทำงานของผู้ใช้งานและระบบงานขององค์กรเป็นเรื่องยากการใช้เทคโนโลยีsnapshotและการทำซ้ำข้อมูลในระบบจัดเก็บจะช่วยลดความเสี่ยงโดยกำจัดช่องโหว่และเพิ่มความถี่ในการสำรองข้อมูลเทคโนโลยีapplication-aware snapshotจะช่วยอำนวยความสะดวกในการจัดการสำรองข้อมูลของแพลตฟอร์มต่างๆให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันจากศูนย์กลางและการประสานการกู้คืนในข้อมูล ออบเจ็กต์ และแอพพลิเคชั่น

8.การกู้คืนข้อมูลจากภัยพิบัติและการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง
องค์กรต้องเลือกโซลูชั่นที่เหมาะสมต่อปัจจัยต่างๆภายในองค์กรโซลูชั่นการกู้คืนข้อมูลจากภัยพิบัติและการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่องใหม่ๆที่ทันสมัยสำหรับการทำซ้ำข้อมูลบนฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์มีประโยชน์หลายอย่างอาทิช่วยสร้างกลยุทธ์การทำซ้ำสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์หลายแห่งเพื่อคัดลอกข้อมูลต่างๆนอกเหนือจากข้อมูลที่อาจเสียหายจากภัยพิบัติได้อย่างครบถ้วนโซลูชั่นเหล่านี้ยังหลีกเลี่ยงผลกระทบที่มีต่อการทำงานของแอพลิเคชั่นและกู้คืนข้อมูลแบบออนไลน์ได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพด้วยการใช้เครื่องมือซอฟแวร์พิเศษที่ป้องกันการล่มของระบบโดยอัตโนมัติ
9.โครงสร้างพื้นฐานแบบActive-Active
เพื่อให้มั่นใจได้ว่าแอพลิเคชั่นสำคัญต่างๆจะทำงานได้ต่อเนื่องเพื่อให้เข้าถึงข้อมูลได้ตลอดเวลาและรีเฟรชระบบโดยไม่สะดุดองค์กรต้องมีโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศแบบactive-activeซึ่งเครื่องมือglobal-activeจะช่วยให้มั่นใจได้ว่าปริมาณการจัดเก็บข้อมูลพร้อมทำงานสำหรับแอพลิเคชั่นในระบบหลัก แม้จะมีการสูญเสียในlocal siteหรือระบบจัดเก็บไปนอกจากนี้คลัสเตอร์การจัดเก็บแบบactive-activeสามารถใช้กับการย้ายworkloadและข้อมูลที่ต้องไม่มีการสะดุดระบบในองค์กรจะมีความยืดหยุ่นความน่าเชื่อถือและความสม่ำเสมอจากการพร้อมทำงานตลอดเวลาให้กับข้อมูลและแอพลิเคชั่นที่มีความสำคัญ

“เพื่อสร้างความสำเร็จในโลกที่พร้อมทำงานตลอดเวลาฮิตาชิฯ เชื่อว่าโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสมและการมุ่งเน้นไปที่ดาต้าเซ็นเตอร์เพื่อสนับสนุนองค์กรในทุกด้านจะช่วยให้ธุรกิจก้าวไกลในอนาคตเนื่องจากการเปลี่ยนไปสู่โครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมทำงานตลอดเวลาจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและความคุ้มค่าให้กับข้อมูลทางธุรกิจและด้วยโซลูชั่นของฮิตาชิฯ ที่มีทางเลือกที่หลากหลายและได้รับการรับรองความเป็นผู้นำในการบริการและความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยี จะช่วยสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ทำให้ระบบสารสนเทศเป็นมากกว่าการสนับสนุนธุรกิจด้วยความรวดเร็วและเพิ่มมูลค่าให้ไอทีเพราะฮิตาชิฯ พร้อมจะช่วยให้องค์กรธุรกิจเปลี่ยนไปสู่โครงสร้างพื้นฐานที่กำหนดโดยซอฟต์แวร์ซึ่งนับเป็นการปฏิวัติวิธีการส่งมอบบริการด้านไอที ให้ธุรกิจพร้อมตอบสนองโลกที่ทำงานไม่เคยหยุดนิ่งในวันนี้และอนาคต”