'พาณิชย์' ผนึกกำลังเอกชนสู้ศึกสงครามการค้ารอบใหม่

'พาณิชย์' ผนึกกำลังเอกชนสู้ศึกสงครามการค้ารอบใหม่

"พาณิชย์" นัดประชุม เอกชน 29 มิ.ย. ปรับกลยุทธ์ดันส่งออกสินค้าไทย คาดหากสหรัฐขึ้นภาษีอีก 3 แสนล้านดอลลาร์ กระทบสินค้าอุปโภคบริโภค แต่ไทยมีโอกาสส่งออกสินค้าไปทดแทนในตลาดสหรัฐได้

นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (ผอ. สนค.) กล่าวถึงกรณีที่สหรัฐปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนเป็น 25 % จำนวน 5,745 รายการมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่จีนตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสินค้าสหรัฐจำนวน 5,140 รายการ มูลค่า 60,000 ล้านดอลลาร์ว่า เป็นกลุ่มสินค้าเดิมที่มีผลบังคับใช้ไปแล้วเมื่อ 24 ก.ย.2561 แต่สหรัฐได้มีการตัดสินค้าจำนวน 67 รายการออก ส่วนใหญ่เป็นอุปกรณ์รถยนต์ เช่น เบรค ล้อรถ คลัช เพลา/แกนรถ ถุงลมนิรภัย ซึ่งจากการติดตามสถานการณ์ตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2561 จนถึงปัจจุบัน พบว่าสินค้ากลุ่มนี้มีนัยยะสำคัญและส่งผลกระทบทางอ้อมต่อการส่งออกไทย เนื่องจากเป็นกลุ่มสินค้าที่เชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานหลายประเทศที่เป็นคู่ค้าสำคัญของไทย


อย่างไรก็ตาม ประเมินว่ามาตรการระหว่างกันล่าสุดในสินค้ากลุ่มนี้ จะไม่ส่งผลกระทบเพิ่มขึ้นมากนักเนื่องจากเป็นสินค้ากลุ่มเดิมที่ตลาดรับรู้ไปแล้ว และผู้ประกอบการเริ่มมีการปรับตัว โดยเราเริ่มเห็นสัญญาณเชิงบวกโดยเฉพาะกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ที่ตัวเลขการส่งออกเดือน เม.ย. 62 มีแนวโน้มหดตัวในอัตราที่ลดลง โดยคาดว่าผู้ประกอบการเริ่มมีการปรับกลยุทธ์ในห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) และมาผลิตในประเทศที่สาม (นอกประเทศจีน) มากขึ้น เช่น ฮ่องกง ไต้หวัน และเมื่อพิจารณาสินค้าในกลุ่มที่ขึ้นภาษี 2 แสนล้าน ของสหรัฐฯ และ 6 หมื่นล้าน ในฝั่งจีน พบว่าไทยยังมีโอกาสส่งออกสินค้าเพื่อชดเชยผลกระทบจากการเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทาน โดยสินค้ากลุ่มที่ไทยมีศักยภาพในการส่งออก ได้แก่ ผักและผลไม้สดและแปรรูป เครื่องดื่ม ไก่สดแช่แข็ง อาหารปรุงแต่ง เสื้อผ้าและรองเท้า เครื่องสำอาง และ ผลิตภัณฑ์ยาง


นางสาวพิมพ์ชนก กล่าวว่า สำหรับสินค้าล็อตใหม่ที่สหรัฐฯ เตรียมขึ้นภาษีจีนมูลค่า 3 แสนล้านดอลลาร์ เป็นสินค้าส่วนที่เหลือเกือบทั้งหมดที่สหรัฐฯ นำเข้าจากจีน โดยส่วนใหญ่ครอบคลุมสินค้าอุปโภค และบริโภค อาทิ อาหาร อุปกรณ์/เครื่องใช้ภายในบ้าน เสื้อผ้าและรองเท้า เครื่องประดับ ซึ่งหากสหรัฐฯ เดินหน้าขึ้นภาษีจริง จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้บริโภค และประเมินว่าในกลุ่มสินค้าอุปโภคและบริโภค ผลกระทบจากห่วงโซ่อุปทานจีนจะมีไม่มากนักเมื่อเทียบกับมาตรการที่ผ่านมา และไทยมีโอกาสที่จะส่งออกเพิ่มในตลาดสหรัฐฯ กว่า 725 รายการ ซึ่งคิดเป็นมูลค่าประมาณ 200 – 1,000 ล้านดอลลาร์ โดยเป็นสินค้าที่ไทยมีด้วยส่วนแบ่งตลาดและความสามารถทางการแข่งขันในรายสินค้า (RCA) สูง ประกอบกับภาพลักษณ์ที่ดีของสินค้าไทยสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้บริโภค อาทิ อาหารและเครื่องปรุงอาหาร (เครื่องเทศ น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันมะพร้าว พีนัท ถั่ว Pignolia น้ำตาลอ้อย) น้ำผลไม้ ขิง ชาเขียว เสื้อผ้าและผ้าผืน รองเท้า อุปกรณ์กีฬา เครื่องประดับ (ไข่มุกและนาฬิกา) และของใช้ในบ้าน (เครื่องเซรามิค เครื่องแก้ว)


ทั้งนี้กระทรวงพาณิชย์ยังได้ติดตามสถานการณ์การนำเข้าอย่างใกล้ชิดในกลุ่มสินค้าสำคัญ ได้แก่ เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ฯ อะลูมิเนียม เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เสื้อผ้า รองเท้า และผลิตภัณฑ์สิ่งทออื่น ๆ เครื่องจักรไฟฟ้าฯ ทองแดง และเคมีภัณฑ์ เพื่อป้องกันการสินค้าไหลเข้ามาไทยเป็นจำนวนมากจากมาตรการภาษีระหว่างสหรัฐฯและจีนที่อาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมในประเทศและผู้บริโภค ซึ่งยังไม่พบการนำเข้าที่ผิดปกติในช่วงที่ผ่านมา


“ในวันที่ 29 พ.ค. ศกนี้ จะมีการประชุมกับตัวแทนอุตสาหกรรมกว่า 20 สมาคม เพื่อหารือถึงความเป็นไปได้ และการปรับกลยุทธ์ผลักดันการส่งออกสินค้าศักยภาพข้างต้นอย่างรวดเร็ว พร้อมกันนี้จะนำผลหารือจากการประชุมเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (กนศ.)


ในวันที่ 11 มิ.ย. 2562 เพื่อกำหนดแนวทางการรับมือในเรื่องสงครามการค้า และกำหนดทิศทางยุทธศาสตร์การค้าระยะยาวที่จะต้องพิจารณาระบบการค้าและการลงทุน (Trade & Investment Ecosystem) ทั้งระบบให้สอดคล้องกับบริบทใหม่ของการค้าโดยเน้นผลักดันและกระตุ้นการมีส่วนร่วมระหว่างภาครัฐ เอกชน และผู้เกี่ยวข้องอื่น ๆ ต่อไป”