เปิดแผน “น้องเล็ก” ไทยซัมมิท ปั้นเวลท์ธุรกิจอสังหาฯ

เปิดแผน “น้องเล็ก” ไทยซัมมิท ปั้นเวลท์ธุรกิจอสังหาฯ

หลังตระกูลจึงรุ่งเรืองกิจ เจ้าของอาณาจักรธุรกิจผลิตอะไหล่รถยนต์ ไทยซัมมิท จดทะเบียนธุรกิจเกี่ยวกับสินทรัพย์ เริ่มต้นจากสนามกอล์ฟ พัฒนากอล์ฟ คลับ แอนด์ รีสอร์ท ที่ศรีราชา ในชื่อลูกๆทั้ง 5 คน ก่อนรุกสู่ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เต็มตัว

ภายใต้ บริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ในปี 2555 โดยส่ง “สกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ" ทายาทคนที่ 4 เข้าไปบริหารในวัย 28 ปี ฐานะน้องใหม่แห่งวงการ

จากนั้นในปี 2561 ไทยซัมมิท ได้ปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งใหญ่ โดยให้ สกุลธร ขึ้นไปเป็นอีกหนึ่งหัวเรือไทยซัมมิท แทนธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ รองประธานกรรมการบริหาร ที่ลาออกไปทำงานการเมืองเต็มตัว ทำให้ต้นปี 2561 "บดินทร์ธร จึงรุ่งเรืองกิจ น้องสุดท้องแห่งตระกูล วัย 25 ปี เข้ามารับไม้ธุรกิจอสังหาฯมีการพัฒนาโครงการแล้วรวม 12 โครงการ มูลค่ากว่า 14,000 ล้านบาท

บดินทร์ธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เปิดเผยถึงแผนธุรกิจภายใน 4 ปีข้างหน้าว่า จะมุ่งเป็นธุรกิจอสังหาฯที่สร้างการเติบโตอย่างรวดเร็ว จากเริ่มต้นที่รายได้ยังโตไม่มาก เมื่อเทียบกับยอดขายรวมเครือไทยซัมมิทกว่า7-8หมื่นล้านบาทต่อปี

โดยที่ผ่านมาส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นซื้อที่ดินและพัฒนาที่พักอาศัย(Residential) แต่ภายใน 2-3 ปีข้างหน้า จะปรับโครงสร้างธุรกิจ โดยนำทรัพย์สิน(Asset) ในเครือไทยซัมมิทเข้ามาไว้ในกลุ่มธุรกิจ เรียลแอสเสท เพื่อบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ เป็นมืออาชีพ และสร้างรายได้ประจำในอนาคต (Recurring Income) “บดินทร์ธร”เผย

ทั้งนี้ สินทรัพย์ของธุรกิจในเครือที่จะนำมารวมอยู่ในกลุ่มธุรกิจเรียล แอสเสท อาทิ อาคารสำนักงานตึกไทยซัมมิท มีมูลค่าประมาณ 3,000 ล้านบาท และกำลังประเมินการเข้าซื้อกิจการกลุ่มธุรกิจโรงแรม มูลค่าประมาณ 1,000 ล้านบาทอีกแห่ง รวมไปถึงการนำสินทรัพย์ในต่างประเทศ อาทิ สำนักงานในเช่ามูลค่าประมาณ 2,400 ล้านบาท (60 ล้านปอนด์) ตลอดจนที่ดินและสินทรัพย์อื่นๆ เช่น ที่ดินในแถบชลบุรีและศรีราชา

จากนั้นมีเป้าหมายที่จะนำบริษัทเรียลแอสเสทฯ เข้าจดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ภายในปี 2565 คาดว่าจะมีมูลค่าสินทรัพย์ไม่ต่ำกว่า 15,000 ล้านบาท ซึ่งจะสร้างรายได้ประจำ ให้กับกลุ่มธุรกิจ คาดว่าจะมีรายได้ 4-5,000 ล้านบาท และมียอดขายรอโอน(Backlog) อยู่ที่ 7,000 ล้านบาท

ปัจจุบันกลุ่มธุรกิจเรียลแอสเสท ซื้อที่ดินไปพัฒนาที่พักอาศัยไปไม่ได้ซื้อเก็บ แต่ภายใน 2-3 ปีข้างหน้าจะเริ่มปรับโครงสร้างธุรกิจนำสินทรัพย์ที่มีในกลุ่มธุรกิจไทยซัมมิทมาบริหาร และซื้อเก็บสินทรัพย์ไปเรื่อยๆ เพื่อสร้างเวลท์(ความมั่งคั่ง) ให้กับผู้ถือหุ้นในอนาคต และจ่ายเงินปันผล รวมถึงเป็นกรรมสิทธิ์(Freehold) ที่ความเสี่ยงน้อย

เขายังกล่าวต่อว่า ยังเตรียมศึกษาการพัฒนาธุรกิจใหม่ เพื่อสร้างรายได้ประจำเพื่อรองรับไลฟ์สไตล์คนในยุคต่อไป เช่น ธุรกิจคลังสินค้า (Warehouse) เพื่อพัฒนาธุรกิจโลจิสติกส์ สอดคล้องกันกับเทรนด์ธุรกิจอีคอมเมิร์ซกำลังมาแรง รวมไปถึงการศึกษาพัฒนาธุรกิจออกกำลังกายกลางแจ้งตามมุมเมืองรอบๆในเขตกรุงเทพฯ เพื่อเป็นแหล่งออกกำลังกายและพักผ่อนให้กับทุกคนในครอบครัวยุคใหม่ที่ต้องการหาที่ทำกิจกรรมร่วมกัน

น้องสุดท้องแห่งตระกูลจึงรุ่งเรืองกิจ ยังมีแผนการพัฒนาแบรนด์ เรียลแอสเสท ให้ชัดเจน เพื่อสะท้อนถึงความเป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ ที่นำนวัตกรรมบุกเบิกตลาดเป็นเจ้าแรก เป็นแบรนด์ที่สอดคล้องกันกับวิถีชีวิต(ไลฟ์สไตล์) คนรุ่นใหม่ เช่น การนำเทคโนโลยีการจดจำใบหน้า(Face Recognition) เพื่อสแกนใบหน้าแสดงตัวตนก่อนเข้าสู่ที่พักอาศัย หรือ การนำโดรนมาบินตรวจสอบการซ่อมบำรุงรักษาในบริเวณบ้าน หรืออาคาร เช่นการตรวจสอบดูแลสนามหญ้า โดยที่ไม่ต้องใช้พนักงานจำนวนมากในการดูแลบำรุงรักษา ช่วยในการบริหารงานของกลุ่มนิติบุคคลในที่พักอาศัย

สำหรับแผนธุรกิจในปี 2562 มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ จำนวน 2 โครงการ ซึ่งจะเป็นโครงการแนวราบทั้งหมด มูลค่าโครงการกว่า 2,700 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการ เดอะเซนส์ บางนา- กิ่งแก้ว ทาวน์โฮมและบ้านเดี่ยว พัฒนาบนที่ดินกว่า 23 ไร่ จำนวน 150 ยูนิต มูลค่า 800 ล้านบาท ราคาขายเริ่มต้น 3 ล้านบาทต่อยูนิต และ โครงการ วิรัณยา บางนา โครงการบ้านเดี่ยว พัฒนาบนที่ดินกว่า 40 ไร่ จำนวน 150 ยูนิต มูลค่า 1,900 ล้านบาท ราคาขายเฉลี่ย 7 ล้านบาทต่อยูนิต

ปีนี้มีการโฟกัสที่แนวราบเป็นหลัก แต่ในปีถัดไปจะพยายามเปิดตัวคอนโดเพื่อสร้างกำไรในอนาคตปีละ 1-2 โครงการ

โดยในปีนี้ตั้งงบซื้อที่ดินใหม่มูลค่า 3,000 ล้านบาท ส่วนหนึ่งอยู่ระหว่างเจรจาซื้อขายที่ดินย่านรัชดาภิเษก เนื้อที่ 4 ไร่ ราคาเฉลี่ย 700,000 ต่อตารางวา(ตร.ว.)ซึ่งยังมีที่ดินแปลงใหญ่จากแถวกิ่งแก้วอีก 120 ไร่ หลังจากแบ่งพัฒนา 2 โครงการเนื้อที่ 60 ไร่ โดยตั้งเป้าหมายรายได้ในปีนี้คาดว่าจะมีมูลค่า 2,700 ล้านบาท