‘บาท’ เปิดตลาดเช้านี้ ‘อ่อนค่า’ ที่ 31.61 บาทต่อดอลลาร์

‘บาท’ เปิดตลาดเช้านี้ ‘อ่อนค่า’ ที่ 31.61 บาทต่อดอลลาร์

ติดตามทิศทางค่าเงินดอลลาร์ ระวังเฟดอาจส่งสัญญาณคงดอกเบี้ยยาวด้วย จะกดดันดอลลาร์อ่อนค่าลง เงินเอเชียอาจกลับมาแข็งค่าจากนักลงทุนกังวลและกลับมาถือสินทรัพย์ปลอดภัย

นายจิติพลพฤกษาเมธานันท์นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุนธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่าค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ที่ระดับ31.61 บาทต่อดอลลาร์อ่อนค่าขึ้นจากช่วงปิดสิ้นสัปดาห์ก่อนที่ระดับ31.59 บาทต่อดอลลาร์

ในส่วนของเงินบาทสัปดาห์นี้ต้องติดตามทิศทางของค่าเงินดอลลาร์เป็นหลักเนื่องจากดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลงตั้งแต่สงครามการค้ากลับมาสร้างความผันผวนนอกจากนั้นก็ต้องระวังว่าเฟดอาจออกมาส่งสัญญาณว่าจะต้องคงดอกเบี้ยยาวด้วยซึ่งก็จะกดดันดอลลาร์ให้อ่อนค่าลง

ขณะที่ฝั่งสกุลเงินเอเชียเชื่อว่าจะกลับมาแข็งค่าได้ตามทิศทางของดอลลาร์เช่นกันอย่างไรก็ดีความเสี่ยงหลักจะอยู่ที่ตัวเลขเศรษฐกิจจีนซึ่งถ้ามีสัญญาณชะลอตัวลงอาจส่งผลให้นักลงทุนกลับมามีความกังวลและเข้าถือสินทรัพย์ปลอดภัยก่อน

มองกรอบเงินบาทในวันนี้31.50 ถึง31.60 บาทต่อดอลลาร์และกรอบเงินบาทสัปดาห์นี้31.35 ถึง31.85 บาทต่อดอลลาร์

สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลกวันที่13-17 พฤษภาคมมีความเคลื่อนไหวที่น่าจับตาหลายเรื่อง

เริ่มที่ฝั่งสหรัฐตลอดสัปดาห์จะมีคณะกรรมการนโยบายการเงินธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับเศรษฐกิจกลุ่มที่มีสิทธ์ออกเสียงได้แก่Robert Kaplan วันจันทร์John Williams วันอังคารRandal Quarles วันพุธLael Brainard วันพฤหัสและRichard Clarida ในวันศุกร์คาดว่าเฟดจะแสดงความเห็นเกี่ยวกับสงครามการค้าและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจสหรัฐรวมถึงทิศทางของดอกเบี้ย

อย่างไรก็ตามเราเชื่อว่าฝั่งตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐจะยังไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะสงครามการค้ายอดค้าปลีก(Retail Sales) เดือนเมษายนที่จะรายงานในวันพุธมีแนวโน้มขยายตัวราว0.4% จากเดือนก่อนหน้าขณะที่วันพฤหัสคาดว่าดัชนีภาวะภาคธุรกิจโดยเฟดสาขาฟิลาเดลเฟีย(Philly Fed Business Outlook) จะปรับตัวขึ้นแตะระดับ11 จุดสะท้อนถึงมุมมองที่เป็นบวกมากขึ้นต่อแนวโน้มการดำเนินธุรกิจในสหรัฐจากการจ้างงานที่อยู่ในระดับสูง

ในฝั่งเอเชียสัปดาห์นี้ต้องจับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจจีนที่จะมีการประกาศในวันพุธตลาดคาดว่ายอดการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร(Fixed Asset Investment) จะขยายตัว6.4% ยอดค้าปลีก(Retail Sales) เติบโต8.6% และยอดการผลิตอุตสาหกรรม(Industrial Production) พื้นตัวขึ้นถึงระดับ6.5% และถ้าเศรษฐกิจขยายตัวได้ตามคาดก็จะสามารถตีความได้เช่นกันว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจในจีนขยายตัวได้ต่อพร้อมที่จะต่อสู้ในสงครามการค้ากับสหรัฐ