3 คีย์ซัคเซส รับมือดิจิทัล ฉบับ 'เอคเซนเชอร์'

3 คีย์ซัคเซส รับมือดิจิทัล ฉบับ 'เอคเซนเชอร์'

มี 3 คีย์ซัคเซสเพื่อรับมือการดิสรัปของดิจิทัล คือ 1. ยอมรับความแตกต่างหลากหลาย (Diversity & Inclusion)2 สร้างความสามารถในการใช้งานเทคโนโลยี ติดตามแนวโน้มต่างๆอย่างใกล้ชิด และ3. สร้างวัฒนธรรมองค์กรให้เปิดกว้างรับการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆตลอดเวลา

"นนทวัฒน์ พุ่มชูศรี กรรมการผู้จัดการ เอคเซนเชอร์ ประเทศไทย กล่าวว่า ที่จริงโลกเรานั้นถูกดิจิทัลเข้ามาสร้างความปั่นป่วน และพลิกโฉมไปแบบถล่มทลายเป็นเวลาหลายปีแล้ว ดิจิทัลจึงไม่ใช่เรื่องของอนาคต ต้องเรียกว่าเวลานี้องค์กรต่าง ๆ กำลังก้าวเข้าสู่ช่วง "หลังยุคดิจิทัล" (post-digital era) และมันจะยังคงทรงอิทธิพลต่อโลกทั้งในวันนี้และอนาคตอันใกล้


ดังนั้น แนวทางในการรับมือกับดิจิทัลจึงควร "มองไปข้างหน้า" ล่าสุดเอคเซนเชอร์ได้เผยผลสำรวจ “เอคเซนเชอร์ เทคโนโลยี วิชั่น 2019” ที่ระบุว่าในอีก 3 ปีข้างหน้าองค์กรจะต้องเผชิญหน้ากับอะไรเพื่อให้เตรียมความพร้อม ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 5 เทรนด์ ได้แก่1.DARQ Power 2.Get to Know Me 3.Human+ Worker 4.Secure Us to Secure Me และ 5.MyMarkets เป็นการสำรวจความคิดของผู้บริหารธุรกิจระดับสูง (C-level) และไอทีจำนวน 6,672 คน ใน 27 ประเทศทั่วโลก (รวมถึงไทย) ในกว่า 20 อุตสาหกรรมและส่วนใหญ่เป็นกิจการที่มีรายได้ต่อปีมากกว่า 6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ


แนวทางดังกล่าวสามารถมองเห็นอนาคตได้แม่นยำแค่ไหน? เขาบอกว่ามุมมองของผู้บริหารระดับสูงขององค์กรชั้นนำซึ่งมีประสบการณ์มีความสามารถสร้างความสำเร็จมาอย่างมากมายและเหนือชั้่นย่อมต้องมีความเฉียบคมอย่างไม่ต้องสงสัย (หมายเหตุว่าผู้บริหารไทยให้ความสำคัญกับทุกๆเทรนด์)


ทั้ง 5 เทรนด์ประกอบด้วย 1.DARQ Power ผู้บริหารทั่วโลกมองว่าจะมี 4 เทคโนโลยีที่จะมาเปลี่ยนโลกอนาคต คือ หนึ่ง Distributed ledger บล็อกเชนที่กระจายข้อมูลเชื่อมโยงกัน สอง Artificial intelligence ปัญญาประดิษฐ์หรือ เอไอ สาม Extended reality ความเป็นจริงขยาย และ สี่ Quantum computing gxHo เทคโนโลยีที่จะผลักดันให้เกิดขีดความสามารถใหม่ ๆ ที่ไม่ธรรมดา ซึ่งผลสำรวจให้ผู้ตอบช่วยเรียงลำดับเทคโนโลยีที่จะส่งผลต่อองค์กรของตนมากที่สุดในช่วง 3 ปีข้างหน้า


2.Get to Know Me เป็นเรื่องของ Data การให้ได้มาถึงข้อมูลพฤติกรรมต่างๆของคนบนโลกออนไลน์ เรียกว่าเป็นโครงสร้างประชากรดิจิทัล เพื่อให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงโอกาสเฉพาะเจาะกลุ่ม เพื่อทำความรู้จักตัวตน ทำความเข้าใจลูกค้าโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ได้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้สามารถสร้างสัมพันธ์ผ่านประสบการณ์ดีๆที่ตอบโจทย์เจาะจงลูกค้าเป็นรายบุคคล องค์กรจำเป็นต้องใช้วิธีการใหม่ในการหาโอกาสทางการตลาดเพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคที่ยังไม่มีใครตอบโจทย์


3.Human+ Worker ในวันนี้องค์กรปรับรูปแบบการทำงานใหม่เป็นลักษณะ "โปรเจ็คเบส" มากขึ้น ทั้งมีการ "ทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์กับแมชชีน กับหุ่นยนต์" ทำให้ทุกอย่างต้องถูกปรับเปลี่ยน ทั้งสภาพแวดล้อม ชุดทักษะความรู้ เพื่อให้เกิดผลิตภาพและประสิทธิภาพมากที่สุด ทางตรงข้ามพนักงานโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่จะมีความคุ้นเคยและเชี่ยวชาญด้านดิจิทัลมากกว่าองค์กร และ “รอ” ให้องค์กรปรับและก้าวตามให้ทัน


4.Secure Us to Secure Me  ทุกวันนี้ไม่มีใครเก่งและชนะการแข่งขันได้ลำพัง ธุรกิจเวลานี้ถูกขับเคลื่อนด้วยระบบนิเวศต้องอาศัยการเชื่อมต่อถึงกันเพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ บริการ และประสบการณ์ที่ดีที่สุด แต่ความเชื่อมโยงเหล่านั้นกลับเพิ่ม "ความเสี่ยง" เข้ามาด้วย ทำนองว่าไม่แค่รั้วบ้านเราแต่มีความจำเป็นต้องดูแลรั้วของทั้งหมู่บ้านให้ดีด้วย ซึ่งในเรื่องนี้ธุรกิจชั้นนำต่างตระหนักดีว่าความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญเมื่อต้องทำงานร่วมกับพันธมิตรในระบบนิเวศ

5.MyMarkets ความเร็วคือหัวใจสำคัญ เป็นถือเป็นคำตอบสุดท้ายของการแข่งขันในอนาคต เป็นคลื่นลูกถัดไปของความได้เปรียบเชิงแข่งขันของธุรกิจ ด้วยสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการทันที "เดี๋ยวนี้ ตอนนี้"  หลายๆเทคโนโลยีเช่น โดรน ได้กลายเป็นพระเอก เช่น อเมซอนได้เอามาส่งของให้กับลูกค้า บริษัทต่างๆ จำเป็นต้องปรับองค์กรใหม่ให้ก้าวทัน สามารถค้นหาและไขว่คว้าโอกาสเหล่านั้นให้ได้ 


แน่นอนว่าเทรนด์เหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจ ต่อคนทำงานอย่างมหาศาล เพราะไม่สามารถนำเอาชุดความรู้ในอดีตมาใช้ได้ องค์กรจำเป็นต้อง "Reskill & Retrain" ต้องปรับระบบ HR ขององค์กรครั้งใหญ่ ในอดีตตำแหน่งงานอาจขยับขึ้นขณะที่คนทำงานจะยังคงทำงานอยู่ในบทบาทหน้าที่เดิม ๆ แต่ในวันนี้ก่อนเกษียนอายุงาน คนทำงานแทบทุกคนกลับต้องทำงานในหลายหน้าที่หลายบทบาท เพราะองค์กรส่วนใหญ่ปรับการทำงานให้เป็นลักษณะของโปรเจ็คเบส คือคิดโครงการใหม่ๆแล้วตั้งทีมทำงานโดยจับพนักงานที่มีความสามารถในแต่ละด้านมาทำงานร่วมกัน เมื่อจบโครงการนี้ก็ไปทำโครงการใหม่ตั้งทีมใหม่คนทำงานจึงแทบจะไม่ได้เจอเพื่อนร่วมงานที่หน้าซ้ำๆ

นอกจากต้องทำงานร่วมกันคนด้วยกันแล้ว พนักงานขององค์กรจำนวนมากในวันนี้ยังต้องทำงานกับแมชชีนและหุ่นยนต์อีกด้วย


คีย์ซัคเซสในการทรานส์ฟอร์มรับมือกับดิจิทัลขององค์กร  จึงต้องมุ่งเน้นเรื่องของ "คน" เป็นพิเศษ ซึ่งมีอยู่ 3 ข้อที่กล่าวไว้ข้างต้นก็คือ 1. ยอมรับความแตกต่างหลากหลาย 2.การสร้างความสามารถในการใช้งานเทคโนโลยี ติดตามแนวโน้มต่างๆอย่างใกล้ชิด และ 3.สร้างหรือปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรให้เปิดกว้างรับการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา


นนทวัฒน์ ได้ยกตัวอย่างของการรับมือกับเทรนด์ที่เขามองว่ามีความท้าทายมากที่สุดในวันนี้ก็คือ Secure Us to Secure Me ซึ่งเอคเซนเชอร์เองมองว่าเทคโนโลยีถือเป็นเครื่องมือที่สำคัญอันหนึ่ง ในทางกลับกันถ้าหากคนไม่ใช้เทคโนโลยีที่สุดมันก็ไม่เกิดความปลอดภัยอยู่ดี

แท้จริงแล้ว ความปลอดภัยขึ้นอยู่กับมายด์เซ็ท การศึกษา และความตระหนักของคนเป็นสำคัญ วิธีของเอคเซนเชอร์ก็คือ ใช้การ "ล่อซื้อ" เช่นทดลองส่งอีเมลไวรัสไปให้กับพนักงานแต่ละคน ซึ่งคนที่ไม่ระมัดระวังก็จะคลิกเปิดทันที ซึงก็จะโดนตัดแต้มทันทีเช่นกัน อาจเรียกได้ว่าเป็นการป้องกันตั้งแต่ต้นลม นอกจากนี้ เอคเซนเชอร์ถือเป็นองค์กรที่ตระหนักและยอมรับความหลากหลายและความแตกต่าง ไม่ว่าจะอายุ เพศ หรือเชื้อชาติ ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้ก็สามารถคว้าอันดับ 1 องค์กรที่ยอมรับความหลากหลายและความแตกต่างมากที่สุดในโลกวัดจากดัชนี "ทอมสัน รอยเตอร์ส" มาได้

"แต่ทุกคีย์ซัคเซสก็ต้องใช้เวลา ทุกอย่างไม่สามารถทำให้เกิดขึ้นภายในข้ามวันหรือข้ามปี"