กสิกรไทยชี้ 'สินเชื่อ-หนี้เสีย' ยังกดดันกำไรแบงก์

กสิกรไทยชี้ 'สินเชื่อ-หนี้เสีย' ยังกดดันกำไรแบงก์

กสิกรไทย ประเมินกำไรแบงก์ทั้งระบบ ยังเผชิญแรงกกดันจากสินเชื่อ หนี้เสีย และ ค่าธรรมเนียม แม้ไตรมาสแรกกำไรยังโตกว่า 6.5%


ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รวมรวมข้อมูลผลประกอบการของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ 10 แห่ง ในไตรมาส 1/2562 โดยพบว่า กลุ่มธนาคารพาณิชย์มีกำไรสุทธิรวม 5.51 หมื่นล้านบาทในไตรมาส 1/2562 เพิ่มขึ้น 6.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากมีการบันทึกรายได้และกำไรพิเศษจากเงินลงทุนที่เกิดขึ้นระหว่างไตรมาส ประกอบกับธนาคารพาณิชย์หลายแห่ง ก็มีค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองเพื่อหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญที่ลดลงด้วยเช่นกัน


อย่างไรก็ตามหากไม่นับรวมรายได้และกำไรจากเงินลงทุนซึ่งเป็นรายการพิเศษดังกล่าว จะพบว่า ยังมีหลายประเด็นที่เป็นเงื่อนไขสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจของธุรกิจธนาคารพาณิชย์ที่รออยู่ในช่วงไตรมาสที่เหลือของปี อาทิ การหารายได้ค่าธรรมเนียมจากส่วนอื่นๆ มาทดแทนรายได้ที่หายไปจากการยกเลิกค่าธรรมเนียมการโอนเงินผ่านช่องทางดิจิทัล การประคองอัตราผลตอบแทนจากการปล่อยสินเชื่อ และการดูแลปัญหาคุณภาพสินทรัพย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจในภาพรวมยังเผชิญโจทย์ท้าทายในการฟื้นตัวด้วยเช่นเดียวกัน


“กำไรสุทธิรวม 5.51 หมื่นล้านบาทในไตรมาส 1/2562 เพิ่มขึ้น 35.1% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2561 และขยับขึ้น 6.5% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2561 เนื่องจากรายได้และกำไรพิเศษที่เกิดขึ้นระหว่างไตรมาส ทั้งจากกำไรสุทธิจากเงินลงทุนและการรับรู้รายได้จากการขายสินทรัพย์ สามารถชดเชยจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในการตั้งสำรองผลประโยชน์พนักงานตามการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานฉบับใหม่ และลดทอนแรงฉุดจากผลกระทบจากการยกเลิกค่าธรรมเนียมการโอนเงินผ่านช่องทางดิจิทัลได้ อย่างไรก็ดี หากหักผลจากปัจจัยพิเศษต่างๆ ออกไปแล้ว จะพบว่า สภาพแวดล้อมและเงื่อนไขการดำเนินธุรกิจที่แท้จริงของธุรกิจธนาคารพาณิชย์ ยังเป็นประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดในช่วงไตรมาสที่เหลือของปี

กสิกรไทยชี้ \'สินเชื่อ-หนี้เสีย\' ยังกดดันกำไรแบงก์


ศูนย์วิจัยกสิกรไทยตั้งข้อสังเกตว่า แม้ว่าอัตราผลตอบแทนสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ (Net Interest Margin: NIM) ยังคงสามารถประคองตัวอยู่ที่ระดับ 3.2% ในไตรมาส 1/2562 แต่หากปรับผลของรายการพิเศษออกไปแล้ว จะพบว่า NIM ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลับชะลอลงมาอยู่ที่ 3.13% ซึ่งสูงกว่า NIM ของไตรมาส 1/2561 ที่ 3.08% เพียงเล็กน้อย
นอกจากนี้ ทิศทางที่ดีขึ้นของกำไรจากการดำเนินการ ยังเป็นผลมาจากการลดลงของการบริหารจัดการด้านต้นทุน และการปรับตัวลงของค่าใช้จ่ายในการกันสำรองเผื่อหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญด้วยเช่นกัน


เมื่อมองไปข้างหน้า แม้ธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่งจะมีแนวทาง/วิธีในการรับมือกับสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัวที่แตกต่างกัน แต่การประคองความสามารถในการทำกำไรจากธุรกิจหลักของธนาคารพาณิชย์ (Core Business) ยังคงเป็นความท้าทายที่รออยู่ในช่วงไตรมาสที่เหลือของปี 2562 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ยังต้องรอสัญญาณการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ชัดเจนในช่วงครึ่งหลังของปี


ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า เงื่อนไขสำคัญๆ ที่มีผลต่อความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจธนาคารพาณิชย์ในระยะข้างหน้า ได้แก่ รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยสุทธิ โดยเฉพาะในส่วนของรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ ยังอาจเผชิญข้อจำกัดในการเติบโต โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากรายได้สุทธิจากธุรกิจประกัน ยังคงฟื้นตัวในกรอบที่จำกัดในช่วงระหว่างการปรับตัวรับเกณฑ์การกำกับดูแลการให้บริการลูกค้าอย่างเป็นธรรม (Market Conduct)


ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมจากส่วนอื่นๆ ยังไม่สามารถเติบโตขึ้นมาเท่าทันพอที่จะช่วยชดเชยผลกระทบจากการยกเลิกค่าธรรมเนียมธุรกรรมโอนเงินผ่านช่องทางดิจิทัลได้


การเติบโตของสินเชื่อในภาพรวม ยังคงต้องรอบรรยากาศการฟื้นตัวดีขึ้นของเศรษฐกิจในภาพรวม ซึ่งทำให้ในเบื้องต้น แม้ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังคงประเมินอัตราการเติบโตของสินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ไทยในปี 2562 ที่ประมาณ 5.0% ตามเดิม แต่จะติดตามสถานการณ์การเบิกใช้สินเชื่อของภาคธุรกิจ ทั้งในส่วนของธุรกิจขนาดใหญ่และธุรกิจ SMEs ในระยะข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง รวมถึงทิศทางของสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (มีสัดส่วนถึงประมาณ 50% ในพอร์ตสินเชื่อรายย่อยของระบบธนาคารพาณิชย์) ซึ่งอาจเติบโตในกรอบที่จำกัดลง หลังจากที่มีการเร่งตัวขึ้นไปค่อนข้างแล้วตามภาพรวมกิจกรรมในตลาดอสังหาริมทรัพย์ช่วงไตรมาส 1/2562 เพื่อเลี่ยงช่วงเวลาการบังคับใช้เกณฑ์การกำหนดการวางเงินดาวน์สำหรับการซื้อบ้าน (มาตรการ LTV ใหม่) ของธปท. ที่เริ่มมีผลบังคับแล้วตั้งแต่ต้นเดือนเม.ย. 2562 ที่ผ่านมา


นอกจากนี้จังหวะการขยายตัวของสินเชื่อหลายๆ ประเภท โดยเฉพาะสินเชื่อ SMEs ที่น่าจะยังตั้งอยู่บนเงื่อนไขของเศรษฐกิจดังกล่าวข้างต้น ทำให้มีประเด็นที่อาจต้องติดตามเพิ่มขึ้น ก็คือ การขยายพอร์ตสินเชื่อที่ให้ผลตอบแทนสูง ซึ่งเป็นเป้าหมายของธนาคารพาณิชย์หลายแห่ง จะต้องเติบโตต่อเนื่องและเร็วเพียงพอ ภายใต้กลยุทธ์ที่ไม่เน้นการแข่งขันด้านราคา ซึ่งทั้งหมดนี้เพื่อที่จะช่วยประคองให้อัตราผลตอบแทนจากการปล่อยสินเชื่อ (Yield on Loans) และอัตราผลตอบแทนสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ (NIM) สามารถทรงตัวหรือมีโอกาสขยับสูงขึ้นได้ในไตรมาสที่เหลือของปี


การบริหารจัดการปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพ ยังคงเป็นโจทย์ยากภายใต้ทิศทางเศรษฐกิจที่ยังมีจังหวะการฟื้นตัวที่ไม่ต่อเนื่อง ทั้งนี้ คงต้องยอมรับว่า ปัจจัยภายในประเทศ สถานการณ์กำลังซื้อของภาคครัวเรือน และราคาพลังงานในตลาดโลกที่อาจทรงตัวในระดับสูง อาจมีผลกระทบต่อเนื่องต่อเศรษฐกิจในภาพรวม และทำให้ธนาคารพาณิชย์จำเป็นต้องเพิ่มการดูแลคุณภาพของสินทรัพย์ในพอร์ตอย่างใกล้ชิดมากขึ้น ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว อาจทำให้รายการค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญลดลงช้ากว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้


ทั้งนี้ จากฐานข้อมูลงบการเงินของธนาคารพาณิชย์ 10 แห่ง พบว่า ยอดคงค้างเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ยังคงมีทิศทางขยับขึ้นในไตรมาส 1/2562 มาอยู่ที่ 4.449 แสนล้านบาท (สูงกว่ายอดคงค้าง NPLs ที่ 4.375 แสนล้านบาทในไตรมาส 4/2561 และยอดคงค้าง NPLs ที่ 4.370 แสนล้านบาทในไตรมาส 1/2561)