'บริหารเศรษฐกิจ' ภารกิจใหญ่ ‘โจโกวี’ สมัย2

'บริหารเศรษฐกิจ' ภารกิจใหญ่ ‘โจโกวี’ สมัย2

การเติบโตอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยังคงเป็นความท้าทายสำคัญสำหรับประธานาธิบดีโจโก “โจโกวี” วิโดโด ผู้นำอินโดนีเซีย หลังการเลือกตั้งที่ดูเหมือนว่าผู้ออกเสียงยังสนับสนุนเขาในขณะนี้

ผลการนับคะแนนเบื้องต้นชี้ว่า ผู้ออกเสียงชาวอินโดนีเซียมอบอำนาจให้โจโกวี วัย 57 ปี อดีตช่างทำเฟอร์นิเจอร์บริหารประเทศต่อเป็นสมัยที่ 2 เอาชนะผู้ท้าชิงจากพรรคฝ่ายค้านอย่าง “ปราโบโว สุเบียนโต” อดีตนายพลด้วยคะแนนห่างกว่าครั้งที่ทั้งคู่ลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อปี 2557

โจโกวี มักวางตัวติดดินและกล่าวถ่อมตัวว่า “ผมไม่ใช่ชนชั้นสูง ผมแค่คนที่มาจากหมู่บ้าน” แสดงให้เห็นว่าเขาตระหนักดีว่าปัญหาราคาอาหารและเชื้อเพลิงสูงส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของชาวอินโดนีเซียผู้มีรายได้น้อยเพียงใด

รัฐบาลของเขาพยายามลดอัตราเงินเฟ้อมาโดยตลอด โดยเฉพาะช่วงก่อนเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันพุธ (17 เม.ย.) ที่ผ่านมา และออกมาตรการต่าง ๆ เช่น จำกัดราคาผลิตภัณฑ์ข้าวบางชนิด และอาหารหลักอื่น ๆ เช่นเดียวกับการกลับมาอุดหนุนราคาเชื้อเพลิงอีกครั้งในปีงบประมาณ 2562

เงินเฟ้ออินโดนีเซียลดลงมา 4 เดือนติดต่อกันก่อนถึงการเลือกตั้งใหญ่ และแตะที่ 2.48% ในเดือนมี.ค. ที่ผ่านมา

“ชาวอินโดนีเซียส่วนใหญ่มีความสุขกับวิธีปกครองประเทศของโจโกวี โดยเฉพาะการบริหารจัดการเศรษฐกิจของเขา” เบน แบลนด์ ผู้อำนวยการโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แห่งสถาบันโลวี กลุ่มคลังสมองของออสเตรเลีย กล่าว

นโยบายโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นผลงานชิ้นโบแดงของโจโกวี ช่วยให้อัตราเงินเฟ้อลดลงด้วยการเพิ่มความสะดวกในการเดินทางทั่วประเทศซึ่งมีเกาะราว 17,000 แห่ง

ธนาคารพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) ระบุว่า ต้นทุนโลจิสติกส์มีสัดส่วนมากถึง 25% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของอินโดนีเซีย นับเป็นสัดส่วนสูงที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นับถึงปี 2559 รัฐบาลของโจโกวีได้ดำเนินการเปิดสนามบินและท่าเรือหลายแห่ง และอ้างว่าได้ขยายถนนทางหลวงทั่วประเทศอีก 436 กม.

ภายใต้การนำของโจโกวี เศรษฐกิจของอินโดนีเซียเติบโตในอัตราราว 5% ต่อปี แต่จีดีพีเบื้องต้นต่อหัวยังไม่ถึง 4,000 ดอลลาร์ ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เศรษฐกิจอินโดนีเซียก็อาจยังเติบโตต่ำกว่าอัตรา 7% ที่โจโกวีให้สัญญาไว้เมื่อเขาเริ่มบริหารประเทศสมัยแรก

“การปฏิรูประบบราชการเป็นสิ่งที่ต้องทำสำหรับเศรษฐกิจอินโดนีเซียเพื่อให้ตัวกระตุ้นทุกอย่างทำงาน” เดวิด ซูมวล หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารเซ็นทรัล เอเชีย (บีซีเอ) ธนาคารเอกชนรายใหญ่ที่สุดของอินโดนีเซีย ระบุ และว่า “นักลงทุนหลายคนบ่นเรื่องระบบราชการ นอกจากนั้น ความสอดคล้องด้านนโยบาย วิธีเพิ่มความสะดวกในการทำธุรกิจ การปฏิรูปการคลังและแรงงาน ก็มีความสำคัญ”

นักสังเกตการณ์บางส่วน กล่าวว่า เนื่องจากโจโกวีไม่ต้องการกังวลเกี่ยวกับการเลือกตั้งครั้งต่อไปแล้ว ผลจากรัฐธรรมนูญอินโดนีเซียห้ามประธานาธิบดีดำรงตำแหน่งเกิน 2 สมัย เขาจึงมีแนวโน้มมากขึ้นที่จะดำเนินมาตรการปฏิรูปที่อาจบั่นทอนคะแนนนิยมแต่มีความจำเป็น

การปฏิรูปเหล่านี้รวมถึงการแก้ไขกฎหมายแรงงานอันเข้มงวดของประเทศ ซึ่งขึ้นชื่อว่าทำให้การเลิกจ้างพนักงานเป็นเรื่องยากลำบาก

อย่างไรก็ตาม ปีเตอร์ มัมฟอร์ด จากบริษัทที่ปรึกษา ยูเรเซีย กรุ๊ป กล่าวว่า ชัยชนะของโจโกวีแม้มีแนวโน้มครองเสียงข้างมากในสภาด้วย ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้เขารอดพ้นจากข้อจำกัดของพันธมิตรร่วมรัฐบาลและผลประโยชน์ที่ฝังรากลึก อย่างบรรดาผู้นำการเมือง กองทัพ ศาสนา และรัฐวิสาหกิจ

มัมฟอร์ด เสริมว่าไม่คิดว่าโจโกวีจะใช้วาระบริหารประเทศสมัยที่ 2 ในการผลักดันการปฏิรูปเชิงโครงสร้างอย่างจริงจัง

โจโกวีกล่าวสุนทรพจน์หลังปิดคูหาลงคะแนนเมื่อวันพุธ โดยเน้นย้ำเรื่องเอกภาพของคนในชาติ เพื่อประสานช่องว่างต่าง ๆ ในสังคม

“หลังเสร็จสิ้นการเลือกตั้งแล้วเรามารวมใจเป็นหนึ่งเดียวกันเถอะครับ พวกเราต่างเป็นพี่น้องชาติเดียวกัน แผ่นดินเกิดเดียวกัน”

ช่องว่างหนึ่งคือระหว่างกลุ่มสนับสนุนโจโกวีกับกลุ่มสนับสนุนสุเบียนโต ผลสำรวจก่อนการเลือกตั้งบางสำนักชี้ว่า ผู้ออกเสียงรุ่นมิลเลนเนียลจำนวนมากชื่นชอบอดีตนายพลมากกว่าผู้นำคนปัจจุบัน อาจเป็นเพราะอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ 5% ไม่ช่วยสร้างงานที่มีคุณภาพสำหรับคนรุ่นใหม่

ขณะที่ทางการอินโดนีเซียเตือนว่า จะจัดการอย่างจริงจังกับผู้ออกมาชุมนุมประท้วงใหญ่ หลังจากคู่แข่งของโจโกวีไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งเมื่อวันพุธ

พล.ต.อ.ติโต การ์นาเวียน ผู้บัญชาการตำรวจแถลงวานนี้ (18 เม.ย.) ว่า การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นไปอย่างเรียบร้อยและปลอดภัยจึงไม่ควรถูกรบกวนด้วยการชุมนุมประท้วง หากมีการทำผิดกฎหมายหรือขัดต่อรัฐธรรมนูญที่เป็นภัยต่อความมั่นคงปลอดภัยของสาธารณะ

“ทางการจะดำเนินการอย่างจริงจัง และจะไม่ปล่อยให้เกิดขึ้น ขอเตือนทุกคนว่าอย่าออกมาชุมนุมประท้วงใหญ่ ไม่ว่าจะเพื่อฉลองหรือเพื่อแสดงความไม่พอใจต่อผลการเลือกตั้งก็ตาม”