'ทิสโก้' ชี้เป้าดัชนีหุ้นปลายปี 1,800 จุด

'ทิสโก้' ชี้เป้าดัชนีหุ้นปลายปี 1,800 จุด

"ทิสโก้" เผยเดือนมี.ค. นักลงทุนใส่เกียร์ว่างไม่กล้าซื้อหุ้น กังวลการเมืองไม่นิ่ง-เศรษฐกิจโลกถดถอย ชี้ควรใช้จังหวะนี้เข้าลงทุน หลังมั่นใจตั้งรัฐบาลใหม่ได้แน่ คาดดัชนีปลายปีนี้ที่ 1,800 จุด

นายวิวัฒน์ เตชะพูลผล รองกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ทางเทคนิค บล.ทิสโก้ กล่าวถึงภาพรวมตลาดหุ้นไทยในงานสัมมนา TISCO Monthly Guru Updates ว่า มูลค่าการซื้อขายหุ้นเฉลี่ยต่อวันในเดือนมีนาคม 2562 ที่ผ่านมา ปรับตัวลดลง 10% จากเดือนก่อนหน้า มาอยู่ที่ 41,000 ล้านบาทต่อวัน

ขณะที่ดัชนีหุ้นไทยตลอดเดือน มีนาคม 2562 เคลื่อนไหวไม่มากนัก ( - 0.9% MoM. ) หากเทียบดัชนีตลาดหุ้นประเทศอื่นทั้งยุโรป จีน เกาหลีใต้ แล้ว ตลาดหุ้นไทยขึ้นจากจุดต่ำสุดในช่วงเดือนธันวาคม 2561 น้อยกว่าตลาดอื่นๆ สาเหตุจากความกังวลต่อปัจจัยการเมืองในประเทศ และเมื่อประกอบกับความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจโลกที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอยด้วยแล้ว จึงส่งผลให้ในเดือนมีนาคมนักลงทุนในตลาดหุ้นไทยตกอยู่ในภาวะลังเลและไม่กล้าลงทุน

“ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมาเรียกได้ว่านักลงทุนในตลาดหุ้นไทยใส่เกียร์ว่าง แต่ส่วนตัวมองว่าในระหว่างที่นักลงทุนรายอื่นๆ เป็นกังวลกับปัจจัยความไม่แน่นอนที่รออยู่มากนั้น เป็นจังหวะที่ดีที่นักลงทุนจะเข้าไปลงทุน เพราะไม่ว่าอย่างไรการเมืองไทยก็จะมีความชัดเจนในที่สุด โดยบล.ทิสโก้คาดการณ์ว่าพรรคพลังประชารัฐมีโอกาสจะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลมากกว่าพรรคเพื่อไทย และไม่ว่าขั้วพรรคการเมืองใดจะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ดัชนีหุ้นไทยจะปรับตัวขึ้นไปแตะ 1,700 จุดได้ในช่วงเดือนพฤษภาคม” นายวิวัฒน์กล่าว

อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาในเชิงเทคนิคปัจจุบันเริ่มเห็นสัญญาณเชิงบวกต่อดัชนีหุ้นไทยแล้ว ขณะที่ประเมินภาวะเศรษฐกิจไทยจะทยอยปรับตัวดีขึ้นในไตรมาสที่ 3 และไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ เนื่องจากรัฐบาลใหม่จะเข้ามาอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบจากการอนุมัติโครงการต่างๆ ที่ยังคั่งค้างอยู่ ซึ่งจะช่วยให้กำไรบริษัทจดทะเบียนปรับตัวดีขึ้นตามมา ประกอบกับหุ้นไทยจะได้รับอานิสงส์ในเชิงบวกจากการปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์เรื่องการนำหุ้นเข้าคำนวณดัชนี MSCI Emerging Market ( MSCI) ซึ่งคาดว่าจะมีเงินต่างชาติไหลเข้ามาซื้อหุ้นไทยประมาณ 5 หมื่นล้านบาท และทำให้หุ้นไทยในช่วงปลายปี 2562 ปรับตัวขึ้นไปแตะระดับ 1,800 จุดได้

ในส่วนของเศรษฐกิจโลก แม้ปัจจัยชี้วัดเรื่องการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่าง “Inverted Yield Curve” หรือปรากฎการณ์ที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวกับอัตราผลตอบแทนระยะสั้นตัดกัน ซึ่งปัจจุบันเริ่มเห็นเค้าลางว่าเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาว และอัตราผลตอบแทนระยะสั้นเข้าใกล้กันมากขึ้น รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงอย่างชัดเจน ทั้งตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของญี่ปุ่น ยุโรป จีน ในเดือนมีนาคมที่ต่ำสุดในรอบหลายปี แต่ธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลก อาทิ ธนาคารกลางสหรัฐฯ ยุโรป จีน ต่างก็เริ่มผ่อนคลายนโยบายทางการเงินเพื่อเข้าไปพยุงเศรษฐกิจแล้ว จึงคาดว่าจะช่วยพยุงให้เศรษฐกิจโลกไม่เข้าสู่ภาวะถดถอยในปีนี้ และจากการผ่อนคลายนโยบายการเงินของธนาคารกลางนี้เอง จะทำให้สภาพคล่องทั่วโลกยังคงอยู่ หนุนให้ตลาดหุ้นทั่วโลกในปีนี้แกว่งตัวในลักษณะออกข้างหรือค่อยๆ ปรับขึ้นได้

นายวิวัฒน์ กล่าวอีกว่า สำหรับหุ้นแนะนำในเดือนเมษายน มีทั้งหมด 4 ธีม ธีมแรก คือ หุ้นที่คาดว่าราคาจะปรับเพิ่มขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ของ MSCI คือ BDMS, SCC, CPN และ LH ธีมที่สอง คือ หุ้นที่ได้รับประโยชน์จากนโยบายภาครัฐฯ ทั้งการบริโภคและการลงทุน คือ MINT, STEC, AMATA และ WHA ธีมที่สาม คือ หุ้นที่คาดว่าแนวโน้มกำไรไตรมาสที่ 1/2562 จะออกมาดี คือ JWD, ANAN, ROJNA และ SEAFCO และธีมสุดท้าย คือ หุ้นที่คาดว่าจะได้รับผลบวกหากนักลงทุนต่างชาติเข้ามาซื้อคืน คือ BBL และ PTTEP

ด้านหุ้นที่เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเก็งกำไรระยะสั้น คือ PTTEP และ IRPC เพราะเป็นหุ้นที่ผลประกอบการจะได้รับผลบวกจากราคาน้ำมัน WTI ในไตรมาสที่ 1/2562 ที่ปรับเพิ่มขึ้นถึง 15% ซึ่งหุ้นกลุ่มพลังงานจะประกาศผลการดำเนินงานในช่วงเดือนพฤษภาคมนี้ ส่วนมุมมองราคาน้ำมันในไตรมาสที่ 2/2562 คาดว่าราคาน้ำมัน WTI จะขึ้นมาทดสอบแนวต้านที่ 63 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล และหากผ่านไปได้จะทดสอบแนวต้านใหม่ที่ 68 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล แต่ในช่วงครึ่งปีหลังจะได้รับผลกระทบจากปริมาณเชลล์ออยจากสหรัฐฯ เข้ามาในตลาด จึงแนะนำให้ลงทุนในรูปแบบเก็งกำไรระยะสั้นเท่านั้น ส่วนราคาทองคำคาดว่าตลอดทั้งปีจะเป็นขาขึ้น ให้เป้าหมายทั้งปีไว้ที่ 1,400 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ โดยมีแนวต้านผ่านยากที่ 1,350 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ แนวรับที่ 1,280-1,250 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ แนะนำให้นักลงทุนทยอยสะสมในพอร์ตลงทุนเมื่อราคาย่อตัวลง