‘บาท’ เปิดตลาดเช้านี้ ‘แข็งค่า’ ที่ 31.86 บาทต่อดอลลาร์

‘บาท’ เปิดตลาดเช้านี้ ‘แข็งค่า’ ที่ 31.86 บาทต่อดอลลาร์

ตลาดการเงินอยู้ในภาวะระมัดระวังมากขึ้น เศรษฐกิจฝั่งเอเชียออกมาดีกว่าคาด สวนเศรษฐกิจฝั่งตะวันตก อาจเป็นปัจจัยหนุนเงินทุนไหล

นายจิติพลพฤกษาเมธานันท์นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุนธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่าค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ที่ระดับ31.86 บาทต่อดอลลาร์แข็งค่าขึ้นจากระดับ31.88 บาทต่อดอลลาร์ในช่วงสิ้นสัปดาห์ก่อน

ในส่วนของค่าเงินบาทสัปดาห์นี้เชื่อว่ามีโอกาสแกว่งตัวในกรอบเดิมต่อเนื่องจากตลาดการเงินมีแนวโน้มอยู่ในสภาวะระมัดระวังตัวมากขึ้น(Wait and See) จากปัจจัยความไม่แน่นอนของสถานการณ์Brexit อย่างไรก็ตามหากตัวเลขเศรษฐกิจฝั่งเอเชียออกมาดีกว่าคาดสวนทางกับตัวเลขเศรษฐกิจในฝั่งตะวันตกจะสามารถเป็นปัจจัยหนุนให้เงินทุนไหลเข้าตลาดเอเชียและช่วยให้ค่าเงินเอเชียแข็งค่าขึ้นได้

มองกรอบเงินบาทในวันนี้31.82-31.92 บาทต่อดอลลาร์และกรอบเงินบาทสัปดาห์นี้31.50 ถึง32.00 บาทต่อดอลลาร์

สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลกในสัปดาห์นี้มีความเคลื่อนไหวที่น่าจับตาฝั่งสหรัฐฯเราคาดว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน(Core CPI) ที่จะมีการรายงานในวันพุธจะทรงตัวอยู่ที่ระดับ2.1% สอดคล้องกับเป้าหมายของเฟดทำให้เฟดไม่เร่งรีบที่จะขึ้นดอกเบี้ยนอกจากนี้ตลาดจะจับตารายงานการประชุมเดือนมีนาคมของเฟดซึ่งเฟดได้มีการคงอัตราดอกเบี้ยพร้อมปรับลดคาดการณ์การเติบโตเศรษฐกิจและแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยโดยประเด็นที่ตลาดจะให้ความสนใจคือแนวทางการปรับเปลี่ยนกรอบการดำเนินนโยบายการเงิน(Policy Framework) รวมทั้งมุมมองการขึ้นดอกเบี้ยและการปรับลดงบดุลในอนาคต

ฝั่งยุโรป  ตลาดจะจับตาการประชุมคณะกรรมการนโนบายการเงินธนาคารกลางยุโรปหรือECB ในวันพุธคาดว่าอีซีบีจะ“คง” อัตราดอกเบี้ยนโยบายอัตราดอกเบี้ยนโยบายซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ที่ระดับ0% พร้อมกับคงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ฝากไว้กับอีซีบีที่ระดับ-0.40% ขณะที่คงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ระดับ0.25% นอกจากนี้เรามองว่าประธานอีซีบีจะมีมุมมองแนวโน้มเศรษฐกิจที่แย่ลงทำให้อีซีบีจำเป็นต้องคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายทั้งปี2019 และใช้มาตรการอัดฉีดสภาพคล่องเพิ่มเติมผ่านโครงการTLTRO

นอกเหนือจากการประชุมธนาคารกลางยุโรปความไม่แน่นอนของสถานการณ์Brexit จะเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องติดตามโดยเฉพาะการประชุมผู้นำสหภาพยุโรปในวันพุธเพื่อหาทางออกของBrexit ให้ได้ก่อนกำหนดออกจากสหภาพยุโรปในวันที่12 เมษายนเพื่อหลีกเลี่ยงโอกาสที่อังกฤษจะออกจากสหภาพยุโรปโดย“ไร้ข้อตกลง”

ฝั่งเอเชียในวันศุกร์คาดว่ายอดการส่งออกของจีนจะขยายตัว10% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหลังจากหดตัวถึง20.8% ในเดือนกุมภาพันธ์เช่นเดียวกับยอดนำเข้าคาดว่ากลับมาขยายตัว4% หลังจากหดตัว5.2% ในเดือนก่อนหน้าโดยมีปัจจัยหลักมาจากปัจจัยฤดูกาลในช่วงเทศกาลตรุษจีนซึ่งไม่ได้สะท้อนการฟื้นตัวของภาคการส่งออกและนำเข้าที่แท้จริงเนื่องจากภาคการผลิตของประเทศคู่ค้าจีนยังมีแนวโน้มชะลอตัวหรือหดตัวตัวอยู่  นอกจากนี้ตลาดจะจับตาการเลือกตั้งทั่วไปในอินเดียซึ่งจะเริ่มตั้งแต่วันพฤหัสนี้รวมถึงวันที่18, 23, 29 เมษายนต่อเนื่องในวันที่6,12 และ19 พฤษภาคม  และจะมีการนับคะแนนในวันที่23 พฤษภาคม  ซึ่งเราคาดว่านายกรัฐมนตรีนเรนทราโมดีจะสามารถคว้าชัยชนะได้อีกสมัย