ป.ป.ส. ย้ำ 'กัญชายังผิดกฎหมาย'

ป.ป.ส. ย้ำ 'กัญชายังผิดกฎหมาย'

ป.ป.ส. ชี้ "กัญชายังผิดกฎหมาย" หากจะใช้ประโยชน์ต้องขออนุญาตให้ถูกต้อง

เมื่อวันที่ 8 เม.ย. 2562 ที่โรงแรม บัดดี้ โอเรียนทอล ริเวอร์ไซด์ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี นายนิยม เติมศรีสุข เลขาธิการ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ( ป.ป.ส.) ชี้แจงกรณีการเข้าตรวจสอบที่ทำการมูลนิธิแห่งหนึ่ง ที่ จ.สุพรรณบุรี พบต้นกัญชาที่เพาะปลูกได้ไม่นานกว่า 200 ต้น น้ำมันสกัดจากกัญชาประมาณ 20 ลิตร กัญชาบดผงประมาณ 500 กรัม เมล็ดกัญชา 1.8 กก. และอุปกรณ์อื่น ๆ พร้อมจับผู้ต้องหา 1 ราย ในข้อหาผลิตและครอบครองยาเสพติดให้ทาประเภท 5 กัญชา โดยไม่ได้รับอนุญาต ทำให้เกิดข้อกังกลว่าผลการดำเนินการดังกล่าว อาจเป็นผลจากนโยบายการปลดล็อคกัญชาเพื่อให้นายทุนผูกขาดทั้งการปลูก การสกัด และสารจำหน่ายกัญชาหรือไม่ และมีข้อสังเกตว่ากัญชาของมูลนิธิดังกล่าวเป็นการวิจัยเพื่อแจกให้ประชาชนแบบให้เปล่า ประกอบกับอยู่ในช่วงนิรโทษกรรม 90 วัน อีกทั้งอาจทำให้ผู้ที่กำลังศึกษาวิจัยเรื่องกัญชาต้องหยุดดำเนินการเพื่อมิให้ถูกดำเนินคดี

นายนิยม กล่าวว่า การตรวจสอบมูลนิธิดังกล่าวเป็นผลมาจากเมื่อวันที่ 1-2 เม.ย.62 ได้มีการแพร่ภาพและเนื้อความทางสื่อสังคมออนไลน์ว่ามีการแจกน้ำมันสารสกัดจากกัญชาให้ประชาชนเพื่อในไปใช้ในการรักษาอาการเจ็บป่วย ภายในวันที่จังหวัดพิจิตรและจังหวัดลพบุรี หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงร่วมกันตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่า มีกานำสารสกัดจากกัญชามาแจกให้กับประชาชนจริง โดยผู้นำมาแจกมาจากมูลนิธิแห่งหนึ่งในจ.สุพรรณบุรี เจ้าหน้าที่จึงแจ้งให้กับประชาชนว่า กัญชายังเป็นยาเสพติดผิดกฎหมาย การผลิต จำหน่าย ครอบครอง ต้องได้รับอนุญาต

ประชาชนทั่วไปไม่สามารถปลูกกัญชาเองได้ จึงได้ไปตรวจสอบที่มูลนิธิดังกล่าว ก็พบของกลางจำนวนดังกล่าว เจ้าหน้าที่ จึงต้องตรวจยึดและจับกุมผู้ต้องหาที่ทำการผลิตและครอบครอง ตามกฎหมาย กัญชายังเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 การดำเนินการใด ๆ ไม่ว่าจะผลิต ครอบครอง จำหน่าย หรือเสพ หากไม่ได้รับอนุญาตก็ถือเป็นความผิดตามกฎหมาย ซึ่งหากเจ้าพนักงานไม่ดำเนินการ ก็เป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ส่วนการดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับกัญชาเพื่อให้ได้รับการยกเว้นโทษภายใน 90 วัน นับตั้งแต่กฎหมายมีผลบังคับใช้ ซึ่งจะสิ้นสุดภายในวันที่ 19 พ.ค.62 นี้ ผู้มีไว้ในครอบครองจะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขกำหนดก่อน โดยผู้มีคุณสมบัติตามกฎหมายให้ยื่นขออนุญาต หรือกรณีผู้ป่วย หรือบุคคลอื่นให้แจ้งมีไว้ในครอบครอง มิได้หมายถึงว่าจะทำการใด ๆ โดยได้รับการยกเว้นโทษก่อนได้รับอนุญาต หรือแจ้งการครอบครอง

เลขา ป.ป.ส. กล่าวต่อว่า การดำเนินการกับมูลนิธิข้าวขวัญ นั้นจะเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับนายทุนหรือไม่ ข้อเท็จจริงขณะนี้มีเพียงองค์กรของรัฐ 2 หน่วยงาน ที่ได้รับอนุญาตในการผลิตคือ องค์การเภสัชกรรม และกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก อีกทั้งกฎหมายได้กำหนดเงื่อนไข และคุณสมบัติของผู้ที่จะได้รับอนุญาตไว้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ในระยะ 5 ปีแรก การผลิต นำเข้า ส่งออก กัญชา ให้อนุญาตได้เฉพาะหน่วยงานรัฐ หรือโดยความร่วมมือของหน่วยงานรัฐเท่านั้น นับแต่ได้มีการร่างกฎหมายจนกฎหมายมีผลบังคับใช้ สำนักงานป.ป.ส.และสำนักงานอย. ได้มีการสร้างความรับรู้และความเข้าในให้กับประชาชนมาโดยตลอดในหลากหลายช่องทางว่านโยบายของรัฐบาลที่เห็นว่ากัญชาสามารถนำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์และการศึกษาวิจัยได้จึงให้มีการผ่อนปรนและออกกฎหมายเพื่อการดังกล่าว โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ทางการแพทย์และความปลอดภัยของประชาชนไทยเป็นที่ตั้ง

“ดังนั้น จึงขอชี้แจงให้พี่น้องประชาชนและองค์กรทุกภาคส่วนมั่นใจว่า การดำเนินการในเรื่องนี้จะมีมีส่วนเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ใดเป็นการเฉพาะทั้งสิ้น ทั้งนี้ สำนังานป.ป.ส. จะเร่งดำเนินการสร้างความรับรู้และความเข้าใจในเรื่องดั้งกล่าวให้กับประชาชนมากยิ่งขั้น เพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติต่อไป หากมีบุคคลหรือองค์กรใดประสงค์จะดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับกัญชาก็สามารถตรวจสอบรายละเอียดได้ที่ สายด่วน ป.ป.ส.1386 กด 3 หรือ อย.1553 กด 3 และยื่นขออนุญาตหรือแจ้งการครองครองภายใต้เงื่อนไขและกรอบเวลาที่กฎหมายกำหนด”