สศช.ชี้โอกาสสินค้าไทยส่งออกเพิ่มจากอานิสงค์สงครามการค้า 3,000 รายการ

สศช.ชี้โอกาสสินค้าไทยส่งออกเพิ่มจากอานิสงค์สงครามการค้า 3,000 รายการ

สศช.ชี้โอกาสสินค้าไทยส่งออกเพิ่มจากอานิสงค์สงครามการค้า 3,000 รายการมูลค่ารวมกว่า 3 หมื่นล้านดอลลาร์ ชี้หากเติบโตโตเฉลี่ยได้ 20% ช่วยดันการส่งออกปีนี้ขยายตัวได้ 3%

สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จัดงานสัมนาเรื่อง “การส่งออกสินค้าไทยภายใต้สงครามการค้าและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก” โดยมีตัวแทนของหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนเข้าร่วมงานกว่า 300 คน นายวิชญายุทธ บุญชิต รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวในหัวข้อโอกาสและข้อจำกัดของการส่งออกไทยภายใต้มาตรการกีดกันทางการค้าว่า จากการศึกษาของ สศช.พบว่าแม้ผลจากสงครามการค้าและมาตรการกีดกันทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯจะกระทบต่อเศรษฐกิจโลกในภาพรวมแต่ยังมีกลุ่มสินค้าส่งออกของไทยที่ได้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้จากการหันเหทิศทางทางการค้า (Trade Diversion) ของทั้งจีนและสหรัฐฯที่มีการแสวงหาตลาดใหม่ทดแทนเพื่อลดผลกระทบจากสงครามการค้าและกำแพงภาษี โดยพบว่ามีสินค้าส่งออกของไทย 3,065 รายการ มูลค่าร่วมกว่า 3 หมื่นล้านบาทซึ่งมีการส่งออกเพิ่มขึ้น โดยในปี 2561 สินค้าบางรายการในกลุ่มนี้มีการส่งออกขยายตัวได้ โดยหากว่ายังสามารถรักษาอัตราการขยายตัวโดยเฉลี่ยให้อยู่ในระดับ 20% จะทำให้การส่งออกในปีนี้ขยายตัวได้ไม่น้อยกว่า 3% ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายที่ สศช.คาดการณ์ไว้

สำหรับกลุ่มสินค้าที่ได้ประโยชน์จากการส่งออกในช่วงที่มีสงครามการค้า แบ่งเป็น1.กลุ่มที่มีโอกาสทั้งตลาดสหรัฐฯและจีน เช่น สัตว์มีชีวิตและผลิตภัณฑ์จากสัตว์ ผลิตภัณฑ์จากพืช อาหารปรุงแต่ง เครื่องดื่ม สุรา ยาสูบ ของที่ทำด้วยกิน ปลาสเตอร์ ซีเมนต์ โลหะ เครื่องจักรอุปกรณ์ไฟฟ้า อุปกรณ์ที่ใช้ทางทัศนศาสตร์ ศิลปกรรมของสะสม เป็นต้น 2.กลุ่มสินค้าที่มีโอกาสในตลาดใดตลาดหนึ่ง ได้แก่ ผลิตภัณฑ์จากแร่ ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมทางเคมี หนังดิบ หนังฟอก ของที่ทำจากหนัง ไม้และผลิตภัณฑ์จากไม้ เยื่อกระดาษ รองเท้า สิ่งทอ อากาศยาน อุปกรณ์และการขนส่ง เป็นต้น และ 3.กลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า ได้แก่ สินค้าประเภทไขมันและน้ำมันพืชที่ได้จากสัตว์หรือพืช พลาสติกยางและผลิตภัณฑ์ เป็นต้น