เบื้องหลัง 'ธนาธรฟีเวอร์' กินรวบจ.แพร่

เบื้องหลัง 'ธนาธรฟีเวอร์' กินรวบจ.แพร่

เปิดเบื้องหลัง ปฎิบัติการที่เป็นไปไม่ได้ของพรรคอนาคตใหม่ "ธนาธรฟีเวอร์" กินรวบ 2 เขต จ.แพร่

หลังจากที่ผลการเลือกตั้ง ส.ส.แพร่ แบบแบ่งเขตเลือกตั้งมีผลการเลือกตั้งออกมาว่าเขตเลือกตั้งที่ 1 นายเอกการ ซื่อทรงธรรม พรรคอนาคตใหม่ ได้ 70,608 นางธนินจิตรา ศุภศิริ พรรคประชาธิปัตย์ ได้ 57,221 ด.ต.บุหลัน ราษฎร์คำพรรณ์ พรรคพลังประชารัฐ ได้ 14,974 คะแนน

เขตเลือกตั้งที่ 2 นายกฤติดนัย สันแก้ว พรรคอนาคตใหม่ ได้ 47,714 นายวิตติ แสงสุพรรณ พรรคพลังประชารัฐ ได้ 26,366 นายคณาธิป มุดเจริญ พรรคประชาธิปัตย์ ได้ 13,197 คะแนน ซึ่ผู้สมัครพรรคอนาคตใหม่ ได้เลือกเข้ามาในสภาทั้งสองเขตเลือกตั้ง ทำให้เกิดความงุนงงให้กับกลุ่มการเมืองหรือกลุ่มอำนาจเก่าในพื้นที่จังหวัดแพร่ ว่าเป็นไปได้อย่างไร

แรกๆ ที่มีกระแสกำหนดการเลือกตั้ง ส.ส.ออกมา ทุกพื้นที่ จ.แพร่จะพูดถึงพรรคเพื่อไทยที่เจ้าของพื้นที่ ส.ส.ในจังหวัดแพร่ที่ผูกขาดมาอย่างยาวนาน กับ พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเป็นพรรคที่มีความใกล้ชิดกับ คสช. หรือเป็นพรรคที่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ที่ดูเหมือนจะเปิดศึกแย่งเก้าอี้ ส.ส. เขตในจังหวัดแพร่ออกมาตั้งแต่มีข่าวว่าจะมีการจัดเลือกตั้ง ส.ส. การแข่งขันของทั้งสองพรรคมีพรรคประชาธิปัตย์ เป็นพรรคที่จะสอดแทรกเข้าสภา

ด้วยความสนิทชิดเชื้อกันระหว่างนายทักษิณ กับ ผู้สมัครพรรคเพื่อไทยทั้งสองเขตของจังหวัดแพร่ จึงทำให้ นพ.ทศพร เสรีรักษ์ และนายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ส.ส.ตลอดกาล ของจังหวัดแพร่ ย้ายพรรคไปอยู่พรรคไทยรักษาชาติ ที่ตั้งขึ้นใหม่ ส่วนพรรคเพื่อไทยเดิม ไม่มีส่งผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ในพื้นที่จังหวัดแพร่แต่อย่างใด ทำให้ น.พ.นิยม วิวรรธนดิฐกุล อดีตส.ส.พรรคเพื่อไทย เขต 2 จังหวัดแพร่ ที่อยากจะลงพรรคเพื่อไทยพรรคสังกัดเดิมจนใจแทบขาดก็ตาม แต่ว่าเนื่องจากมีความหวั่น ว่า หากนพ.นิยม ลงพรรคเพื่อไทยแล้วคงจะต้องไปตัดคะแนนผู้สมัครไทยรักษาชาติ คือ น.พ.ทศพร เสรีรักษ์ และ นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล สุดท้าย นพ.นิยม จำจรลีย้ายไปลงผู้สมัคร ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ พรรคเศรษฐกิจใหม่ ของนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ ด้วยความชอกช้ำใจ

ต่อมาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ได้เกิดฟ้าผ่าทางการเมืองพรรคไทยรักษาชาติ ถูกศาลสั่งให้ยุบพรรค ทำให้ น.พ.ทศพร เสรีรักษ์ กับ นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล สองผู้สมัคร เขต 1 และ เขต 2 ถูกตัดสิทธิ์เป็นผู้สมัคร ส.ส.แบบแบ่งเขตลงไปด้วย จึงทำให้ป็นความหวังความมั่นใจของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ส่งนางธนินจิตรา ศุภศิริ น้องสะใภ้ของแม่เลี้ยงติ๊ก หรือนางศิริวรรณ ปราศจากศัตรู รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และด"ต.บุหลัน ราษฎรคำพรรณ์ อดีต สว.แพร่ ที่ลงในนามพรรคพลังประชารัฐ ทำให้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มั่นใจถึงกับเดินทางมาที่จังหวัดแพร่ก่อนวันลงคะแนนเลือกตั้งถึงสองครั้งสองครา ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ ถึงกับบินด่วนมาที่จังหวัดแพร่ ก่อนวันลงคะแนนกี่วันเช่นเดียวกัน

แต่ว่า หลังจากที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และนายปิยบุตร แสงกนกกุล หัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ได้เดินทางมาที่จังหวัดแพร่แล้ว ผลปรากฏว่าได้รับการต้อนรับ จากชาวแพร่โดยเฉพาะพลังของคนรุ่นใหม่ แต่ทั้งนี้ยังไม่ใช่ประเด็นที่สำคัญประเด็นนี้อย่างเดียว เพราะว่าผลการที่พรรคประชาธิปัตย์ พรรคพลังประชารัฐ แพ้ผู้สมัครหน้าใหม่ ที่ถือว่าพรรษาน้อยทางด้านการเมือง แต่เพราะความประมาทของ พรรคประชาธิปัตย์และ พรรคพลังประชารัฐ ที่ลงพื้นที่หาเสียงน้อยไป ทำให้ทั้งสองพรรคที่กล่าวหัวคะมำจากผลการเลือกตั้งที่ พรรคอนาคตใหม่ ที่ขยัน บวกกับ นโยบายของพรรค และผู้บริหารพรรคที่เกิดกระแสที่เรียกว่า “ธนาธรฟีเวอร์” เกิดขึ้นในจังหวัดแพร่

และฟางเส้นสุดท้าย ก็คือเรื่องของโหวตโน ที่ออกมาจากพรรคไทยรักษาชาติ ที่ถูกยุบพรรคไปแล้ว ทำให้ชาวบ้านเกิดกระแสต่อต้าน เพราะว่ามันเหมือนจะไปล้มการเลือกตั้งเพื่อให้ผู้สมัครพรรคไทยรักษาชาติที่ถูกยุบพรรค ได้กลับมาสมัคร ส.ส.เมื่อมีการเลือกตั้งใหม่อีกครั้ง แต่ถือว่าการดำเนินการของพรรคไทยรักษาชาติเป็นการวางหมากที่ผิดพลาด เพราะว่ามีการวางแผนที่จะดึงคะแนนของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง ที่จะลงในพรรคอนาคตใหม่ ไปลงคะแนนในช่องโหวตโน แต่ปรากฎว่าเกิดกระแสตีกลับ เกิดคะแนนสนับสนุนพรรคอนาคตใหม่ มากขึ้นไปอีก

ถ้าจะกล่าวได้ว่าการเดินหมากทางการเมืองของไทยรักษาชาติ และพรรคเพื่อไทย ได้เดินเกมส์ผิดพลาดที่มองว่า พรรคอนาคตใหม่ คือคู่แข่งของพรรคไทยรักษาชาติ แทนที่จะมองว่าพรรคนี้คือพรรคที่เป็นตัวแทนของฝ่ายประชาธิปไตย และลึกๆทราบว่า พรรคไทยรักษาชาติในพื้นที่จังหวัดแพร่ ส่งสัญญานให้ผู้สนับสนุนให้ลงคะแนนให้กับพรรคเสรีรวมไทย หรือโหวตโน

พรรคเพื่อไทย และพรรคอนาคตใหม่ ที่เป็นพรรคพันธมิตรกันแต่ว่าอีกด้านหนึ่งของเหรียญ ก็คือเป็นคู่แข่งกันไปพร้อมๆกัน จุดที่สำคัญที่สุดอีกอย่างก็คือ ผู้มีอายุ 40 ปีขึ้นไปก็เลือกลงคะแนนให้พรรคอนาคตใหม่ เพราะว่าชอบหัวหน้าพรรคเป็นคนรุ่นใหม่ และมีความชัดเจนในตัวเอง

ทางด้านข้อมูลการวิเคราะห์ของทางพรรคอนาคตใหม่จังหวัดแพร่ ได้ยกเหตุผล 7 ประการ ที่ทำให้พรรคอนาคตใหม่ได้รับเลือกตั้งยกทีม คือ1.คนแพร่มีปัญหาหลายอย่างทั้งเศรษฐกิจการเมือง และสังคม ที่จังหวัดแพร่เป็นสังคมแบบดั้งเดิมยังเป็นสังคมที่มีระบบอุปถัมภ์ในทุกๆด้านทำให้การพัฒนาของจังหวัดติดหล่มไม่ไปไหน คนแพร่จึงต้องเลือกผู้นำทางด้านการพัฒนาใหม่เพื่อเข้ามาขับเคลื่อนการพัฒนาของจังหวัดแพร่ 2.ชาวแพร่ ขาดการมีส่วนร่วมการกำหนดนโยบายสาธารณะ ที่เห็นชัดเจนคือการอนุรักษ์กำแพงเมืองคูเมืองเก่าแพร่ ที่จะดำเนินการโดยฝ่ายภาครัฐ อย่างเดียว ส่วนประชาชนแทบจะไม่มีส่วนร่วมมีส่วนร่วมในนโยบายสาธารณที่เกิดขึ้นเลย ดังนั้นการเลือกพรรคอนาคตใหม่ จึงเป็นทางเลือกใหม่ของคนแพร่

3.คนรุ่นใหม่ต้องการแนวคิดใหม่ๆ จะเป็นแบบไหนก็ได้ และพรรคอนาคตใหม่ได้นำเสนอตรงกับความต้องการของคนรุ่นใหม่ 4.มีการปฏิสัมพันธ์แบบใหม่ระหว่างคนในครอบครัว ระหว่างคนในเมืองกับคนชนบท อาทิ ลูกไปเรียนมหาวิทยาลัย ออนไลน์มาคุยกับแม่ให้กาพรรคอนาคตใหม่ ถ้าไม่กาจะไม่เรียนหนังสืออย่างนี้เป็นต้น 5. คนใส่ใจการเมืองมากขึ้น เช่นขับรถจากเชียงรายมาลงคะแนนที่ จังหวัดแพร่ หรือนั่งเครื่องบินจากต่างประเทศมาลงคะแนน 6.ผู้บริหารพรรค กรรมการบริหารพรรค ได้รับความสนใจ ความเชื่อถือ จากประชาชน อาทิ นายธนาธร หัวหน้าพรรค หรือ อ.ปิยบุตร 7.นโยบายของพรรคอนาคตใหม่มีความก้าวหน้าและตอบโจทก์ที่เป็นปัญหาของประเทศ