บริษัทเทคโนโลยีจีนแห่ปลดคนรับเศรษฐกิจชะลอตัว

บริษัทเทคโนโลยีจีนแห่ปลดคนรับเศรษฐกิจชะลอตัว

ขณะที่นายแดเนียล จาง ซีอีโออาลีบาบา กรุ๊ป โฮลดิง ออกแถลงการณ์เมื่อเดือนที่แล้วว่า บริษัทไม่มีแผนปลดพนักงานแต่อย่างใด

เศรษฐกิจจีนที่ลดความร้อนแรงเริ่มพ่นพิษใส่บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำหลายแห่งที่เคยเป็นบริษัทในฝันในตลาดแรงงาน ล่าสุด เทนเซนต์ ประกาศลดพนักงานประมาณ10% ของพนักงานทั้งหมดที่มีอยู่ หลังจากเจดีดอทคอม ยักษ์ใหญ่ในธุรกิจอีคอมเมิร์ซ และเน็ตอีสต์ ดำเนินการลดต้นทุนด้านบุคคลากรไปก่อนหน้านี้แล้ว

“เราขอเริ่มด้วยการลดพนักงาน 10% ก่อนในเบื้องต้น”นายหม่า ฮั่วเถิง หรือนายโพนี่ หม่า ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร(ซีอีโอ)เทนเซนต์ กล่าว

การลดพนักงาน10% ของเทนเซนต์ส่งผลกระทบต่อพนักงานจำนวนกว่า 200 คนเพื่อให้บริษัทอยู่ในฐานะที่สามารถแข่งขันได้ ซึ่งข่าวนี้สร้างความประหลาดใจแก่ผู้เล่นคนอื่นๆในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีพอสมควร

เทนเซนต์ ซึ่งเป็นเจ้าของเเอพพลิเคชั่นวีแชท แอพฯยอดนิยมเเละเป็นเครือข่ายสังคมใหญ่ที่สุดในจีน เปิดเผยช่วงปลายปีที่แล้วว่า มีกำไรเพิ่มขึ้นกว่า 61% เมื่อเทียบเป็นรายปี เป็น 23.29 พันล้านหยวน หรือประมาณ 3.7 พันล้านดอลลาร์ หรือ 2.73 พันล้านปอนด์ แต่วีแชทก็ต้องดิ้นรนหาผู้ใช้หน้าใหม่ๆเพิ่มอย่างต่อเนื่องเพื่อชดเชยกับรายได้ในธุรกิจเกมที่ลดลงเพราะถูกสกัดจากกฏระเบียบ

เทนเซนต์ กล่าวว่า เเพลตฟอร์มมินิเกมที่เปิดตัวในวีเเชทได้รับความนิยมอย่างมาก โดยบริษัทได้เปิดเเพลตฟอร์มให้กับนักพัฒนาเกมหน้าใหม่เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เเละมีเกมมินิเเบบใหม่ให้บริการประมาณ 500 เกม

นักวิเคราะห์ ให้ความเห็นว่า รายได้ส่วนใหญ่ของวีแชทเติบโตมาจากแอพฯ เกมที่เทนเซนต์เป็นเจ้าของ โดยรายได้จะมาจากผู้ใช้งานที่ใช้เงินซื้อของในเกม โดยวีแชทมีส่วนสำคัญ เพราะเทนเซนต์นำเสนอเกมบนวีเเชท โดยวีเเชทเวอร์ชั่นภาษาจีนมีผู้ใช้งานรายเดือน 1 ล้านบัญชีเป็นครั้งเเรกเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ส่งผลให้รายได้ของโฆษณาเพิ่มขึ้น 55 % เป็น 10.69 พันล้านหยวนในไตรมาสเเรก

นอกจากเเพลตฟอร์มส่งข้อความเเละเกมเเล้ว เทนเซนต์ยังมีบริการช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเรียกเเท็กซี่ หรือสั่งอาหารได้ โดยชำระเงินผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งพ่อค้าจะต้องจ่ายค่าบริการให้กับเทนเซนต์

อย่างไรก็ตาม บรรดาบริษัทเทคโนโลยีจีนหลายแห่งเริ่มลดจำนวนพนักงานตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว อย่างบริษัทเหรินเหรินจี้ (Renrenche) บริษัทขายรถมือสองผ่านแอพฯประกาศลดพนักงานทั่วประเทศช่วงปลายปีที่แล้ว จนนำไปสู่การฟ้องร้องดำเนินคดีของกลุ่มพนักงานที่ถูกปลด และนับตั้งแต่เดือนก.พ.เป็นต้นมา มีข่าวว่า ผู้เล่นรายใหญ่ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีจีน อย่างเน็ตอีสต์ บริษัทให้บริการเกมออนไลน์ และเจดีดอทคอม แพลทฟอร์มอีคอมเมิร์ซใหญ่สุดอันดับ2ของจีนก็ลดพนักงานในสังกัดเช่นกัน

กระแสการปลดพนักงานที่เกิดกับบริษัทสองสามแห่งดังที่กล่าวมาข้างต้น สั่นคลอนความเชื่อมั่นในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของจีนอย่างมาก และทำให้เกิดความไม่มั่นใจในหมู่ผู้ถือหุ้น จนล่าสุด นายแดเนียล จาง ซีอีโออาลีบาบา กรุ๊ป โฮลดิง ต้องออกแถลงการณ์เมื่อเดือนที่แล้วว่า บริษัทไม่มีแผนปลดพนักงานแต่อย่างใด

สิ่งที่เกิดขึ้นกับบริษัทเทคโนโลยีจีน เป็นผลพวงของภาวะเศรษฐกิจจีนที่เติบโตในอัตราช้าที่สุดนับตั้งแต่ปี2533 หรือในรอบ 28 ปี ส่งผลให้เกิดความวิตกเกี่ยวกับผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก โดยตัวเลขอย่างเป็นทางการระบุว่า เศรษฐกิจจีนขยายตัว 6.6% ในปี 2561

ในช่วง 3 เดือนถึงเดือนธ.ค. เศรษฐกิจจีนขยายตัว 6.4% จากปีก่อนหน้า และลดลงจาก 6.5 % ในไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งข้อมูลสอดคล้องกับการคาดการณ์ แต่ตอกย้ำความกังวลเกี่ยวกับการเติบโตในเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ที่อ่อนเเอมากที่สุดนับตั้งเเต่วิกฤติการเงินโลกและการเติบโตที่ช้าลงในจีน อาจทำให้ประเทศส่วนที่เหลือของโลกเติบโตช้าตามไปด้วย ในฐานะที่จีนมีขนาดเศรษฐกิจประมาณ 1 ใน 3 ของเศรษฐกิจโลก