ผันผวน + แผ่ว

ผันผวน + แผ่ว

SET Index วานนี้ปรับตัวขึ้นเล็กน้อย ด้วยปริมาณการซื้อขายที่ยังคงเบาบาง

โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มพลังงานภายในประเทศ ส่งผลให้ SET Index ปิดที่ 1,627.59 จุด (+0.16 จุด) Volume 3.7 หมื่นลบ. จาก Foreign Net  -1,066.49 ลบ. TFEX Net +11,195 สัญญา และ ตลาดตราสารหนี้ -553 ลบ.

แนวโน้มตลาดหุ้นไทย

 + ราคาน้ำมันดิบ WTI +8 เซนต์ ปิดที่ 56.87 ดอลลาร์/บาร์เรล  หลังซาอุฯส่งสัญญาณเพิ่มการปรับลดกำลังการผลิตในเดือนหน้า และเวเนซุเอลาลดส่งออกน้ำมันเนื่องจากไฟฟ้าดับทั่วประเทศ

+ ผู้แทนการค้าสหรัฐเผยกำลังใกล้บรรลุข้อตกลงการค้ากับจีน

+ มอร์แกน สแตนลีย์ ชี้ดัชนีตลาดเกิดใหม่ทั่วโลกมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นถึง 8% ในปีนี้ โดยมีแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ความเป็นไปได้มากขึ้นที่จะได้ข้อตกลงการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ กำไรของบริษัทในภูมิภาคดีกว่าที่คาด

- รัฐสภาอังกฤษลงมติ 391-242 เสียงคว่ำข้อตกลง Brexit ที่นางเทเรซา เมย์ นายกฯอังกฤษทำไว้กับผู้นำสหภาพยุโรป (EU) วานนี้ 

- ดัชนีดาวโจนส์ปิดลบจากหุ้นโบอิ้งร่วงเหตุเครื่องบินตก แต่ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดบวก หลังจากอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐขยายต่ำสุดในรอบกว่า 2 ปี โดยดัชนี CPI +0.2%MoM สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ว่าจะทรงตัวติดต่อกัน 3 เดือน สนับสนุนเฟดชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

- Fund Flow ต่างชาติมีสถานะขาย YTD 6.93 พันล้านบาท ค่าเงินบาท 31.62 บาท/US

คาดดัชนี SET วันนี้มีแนวโน้มผันผวนและอาจแผ่วลงตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศและตลาดหุ้นในภูมิภาค  และความไม่แน่นอนของ BREXIT หลังรัฐสภาอังกฤษคว่ำโหวดร่างข้อตกลงฯ  แม้มีปัจจัยหนุนราคาน้ำมันที่ปิดเพิ่มขึ้นแต่คาดมีน้ำหนักน้อย   คาดดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบ 1,610-1,635 จุด

กลยุทธ์การลงทุน

  • กลุ่ม Defensive : กลุ่มค้าปลีก กลุ่มท่องเที่ยว กลุ่มรพ.
  • FTSE Large Cap : HMPRO GULF EA MINT MAKRO BEM DIF
  • FTSE Mid Cap : MTC GPSC

         * HMPRO MTC มีผลตอบแทน YTD น้อยกว่าดัชนี

  • หุ้นได้ประโยชน์จากการเลือกตั้ง : VGI PLANB MACO CPALL MAKRO BJC TKS
  • ขยายเวลา Visa On Arrival : AOT  CENTEL ERW

 

หุ้นแนะนำพิเศษ

HMPRO (ราคาปิด 15.40 Bloomberg Consensus 16.64) 

HMPRO ติดรายชื่อหุ้นเข้าคำนวณดัชนี FTSE Large Cap มีผล 15 มี.ค. โดยราคาหุ้นมีผลตอบแทน YTD น้อยกว่าดัชนี SET

          ฝ่ายวิจัยมีมุมมองบวกต่อปัจจัยพื้นฐานในระยะยาวที่มีศักยภาพในการเติบโตของรายได้และกำไรต่อเนื่องตามการเปิดสาขา และกลยุทธ์ในการเปิดสาขาขนาดเล็กที่ช่วยให้เข้าถึงชุมชนได้ดี ปลายปี 61 มีทั้งสิ้น 109 สาขา (เปิดเพิ่ม 7 สาขาจากปี 60) แบ่งเป็น 1) HomePro 82 สาขา 2) HomePro(S) 9 สาขา 3) HomePro-Malaysia 6 สาขา และ 4) MegaHome 12 สาขา

ปี 61 มียอดขาย  6.16 หมื่นล้านบาท คิดเป็น CAGR เฉลี่ย 5 ปี เท่ากับ 5.12% กำไรสุทธิ 5.6 พันล้านบาท + 15% จากการเติบโตของยอดขายจากสาขาเดิมและสาขาใหม่  แม้ว่ายอดขายสาขาเดิมไม่เป็นไปตามเป้า และใน 4Q61 ไม่มีมาตรการช้อปช่วยชาติเหมือนปีก่อนหน้า %GP เพิ่มขึ้นเป็น 27.5% จาก 26.5% ในปี 60 จาก product mix ที่มี % สินค้าภายใต้แบรนด์ของบริษัทเองเพิ่มขึ้นเป็น 19.6% จาก 19.1% ในปี 60  บริษัทประกาศจ่ายเงินปันผลหุ้นละ 0.20 บาท คิดเป็น yield 1.3% XD 19 เม.ย. วันจ่าย 8 พ.ค.

          ปี 62 บริษัทมีแผนเปิดสาขาโฮมโปร 2-3 แห่ง  โฮมโปร S 3-4 แห่ง เมกาโฮม 2 แห่ง โดยยังไม่มีแผนเปิดสาขาเพิ่มในมาเลเซียเนื่องจากมีการแข่งขันที่รุนแรง ยอดขายปีนี้มีศักยภาพเติบโตจากความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับดีขึ้นเป็นครั้งแรกในเดือนม.ค.หลังจากที่ก่อนหน้านั้นดัชนีปรับลดลงติดต่อกัน 4 เดือน ทั้งนี้ Bloomberg Consensus คาดกำไรปี 62 เฉลี่ย 6.4 พันล้านบาท +14%

หุ้นมีข่าว   

หุ้นเริ่มซื้อขายวันแรก : GSC(ราคา IPO 1.70 บาท)

ตลาด mai /บริการ

·         บมจ. โกลบอล เซอร์วิส เซ็นเตอร์ (GSC) ประกอบธุรกิจหลัก 2 ธุรกิจ ได้แก่ (1) ธุรกิจศูนย์บริการข้อมูล และ (2) ธุรกิจติดตามและทวงถามหนี้ โดยผลประกอบการปี 61 บริษัทมีรายได้รวม 154 ลบ. ทรงตัว YoY มีสัดส่วนรายได้หลักมาจากธุรกิจศูนย์บริการข้อมูล 66% และธุรกิจติดตามและทวงถามหนี้ 33% โดยบริษัทมีกำไรสุทธิปี 61 อยู่ที่ 14 ลบ. ลดลงถึง47%YoY เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของค่าตอบแทนพนักงานเพื่อจูงใจให้พนักงานอยู่กับบริษัทฯ รวมถึงตั้งโบนัสค้างจ่ายให้แก่พนักงานในงวดปี 61 ประกอบกับบริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเตรียมตัวเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai

·         จำนวนหุ้นที่เสนอขายให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 90 ล้านหุ้น  มูลค่าประมาณ 153 ลบ.ใช้เป็นเงินทุนในการขยายสาขา ใช้ปรับปรุงและพัฒนาระบบ IT  และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ

·         ราคา IPO คิดเป็น  Current PER ที่ 30.51 เท่า สูงกว่าบริษัทที่ทำธุรกิจใกล้เคียงกันในตลาดหลักทรัพย์โดยมี PER เฉลี่ย 23 เท่า โดยมีหุ้นของผู้มีส่วนร่วมในการบริหารที่ไม่ติด Silent Period จำนวน 22.5 ล้านหุ้น คิดเป็น 9.0% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ACAP เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่สัดส่วน 64%

·         AOT (ราคาปิด 67 ราคาเหมาะสม Bloomberg Consensus71.60) เปิดประมูลดิวตี้ฟรี 4 สนามบิน-พื้นที่เชิงพาณิชย์สุวรรณภูมิ 19 มี.ค.-1 เม.ย. เคาะราคา 10 พ.ค. (ที่มา : IQ)

·         BCPG (ราคาปิด 16.11 ราคาเหมาะสม Bloomberg Consensus 19.11) วางงบลงทุน 5 ปี (2562-2566) ไว้ 5 หมื่นล้านบาท พัฒนาโครงการใหม่-ซื้อโรงไฟฟ้า เผยภายใน 6 เดือน เห็นความชัดเจนร่วมทุนพันธมิตรฮ่องกง ลุยพลังงานในภูมิภาค รอผลประมูลโซลาร์ฟาร์ม ที่มาเลเซีย คาดทราบสิงหาคมนี้ พร้อมปักธง EBITDA ปีนี้โต 15-20% จากการจ่ายไฟฟ้าเพิ่มในโครงการ Lomligor Wind Farm ขนาด 10 เมกะวัตต์ และโครงการ Chiba ในประเทศญี่ปุ่น 30 เมกะวัตต์ ปลายปีนี้ (ที่มา : ทันหุ้น)

·         CPT เปิดช่องทางทำเงิน ตั้งบริษัทย่อยปล่อยสินเชื่อรองรับธุรกิจใหม่จำหน่ายและติดตั้งอุปกรณ์ประหยัดพลังงานในอุตสาหกรรมหนัก เดินหน้าประมูลงานประปาในประเทศกว่า 7 โครงการ มูลค่าราว 250 ล้านบาท อวด Backlog ในมือมากกว่า 400 ล้านบาท ปักธงรายได้ปี 2562 ไม่น้อยกว่า 10% (ที่มา : ทันหุ้น)

·         SPCG (ราคาปิด 18.50 ราคาเหมาะสม Bloomberg Consensus 21.30) ผนึกกำลัง 2 ยักษ์ใหญ่ญี่ปุ่น ตั้งบริษัทร่วมลงทุนโซลาร์ฟาร์มในประเทศญี่ปุ่น 5 โครงการ กำลังการผลิต 66.9 เมกะวัตต์ มั่นใจพันธมิตรแข็งแกร่ง-มีความมั่นคงสูง ลั่นเดินหน้าลงทุนด้านพลังงานทดแทนสร้างโอกาสการเติบโตขยายฐานธุรกิจสร้างรายได้ระยะยาว(ที่มา : ทันหุ้น)

·         TOA (ราคาปิด 33.25 ราคาเหมาะสม Bloomberg Consensus 31.45 ) ปักหมุดปีนี้รายได้โต 10% จากปีก่อน รับพอร์ตลูกค้าขยายตัว แถมควักงบ 600 ล้านบาท รีโนเวตโรงงานเดิม-อัพกำลังผลิตใหม่ กรุยทางโกยเงินระยะยาว ปรับกลยุทธ์รุกทำตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น หวังเพิ่มสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเป็น 19% ภายใน 5 ปี (ที่มา : ทันหุ้น)

·         RAM ประกาศแตกพาร์เหลือหุ้นละ 0.50 บาท จากเดิม 10 บาท หวังเพิ่มสภาพคล่องมากขึ้น โดยหลังแตกพาร์จำนวนหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 300 ล้านหุ้น จากเดิม 15 ล้านหุ้น (ที่มา : ข่าวหุ้น)

·         JKN (ราคาปิด 8.05 Bloomberg Consensus 12.58) ใส่เกียร์รุกตลาดต่างแดน ขนลิขสิทธิ์คอนเทนต์อินเดีย-ฟิลิปปินส์ และลิขสิทธิ์คอนเทนต์ละครไทยจากช่อง 3 ร่วมออกบูธขายคอนเทนต์ในงาน ฮ่องกง ฟิล์ม มาร์ท วันที่ 17-19 มีนาคมนี้ (ที่มา : ทันหุ้น)

·         STPI (ราคาปิด 4.88 ราคาเหมาะสม Bloomberg Consensus 4.40) เซ็นสัญญางานโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสายสีเหลือง มูลค่า 325 ลบ. มีระยะเวลาตามสัญญาภายในไตรมาส 3/63