‘ยิบอินซอย’ชี้ เทคฯยุคใหม่ ดัชนีวัดความสำเร็จธุรกิจ

‘ยิบอินซอย’ชี้ เทคฯยุคใหม่ ดัชนีวัดความสำเร็จธุรกิจ

คลาวด์ คอมพิวติ้ง บิ๊กดาต้า การวิเคราะห์ข้อมูล ไอโอที ปัญญาประดิษฐ์ บล็อกเชน และความปลอดภัยทางไซเบอร์” จะมีบทบาทสำคัญอย่างน้อยอีก 3-5 ปี ข้างหน้า

บริษัทที่ปรึกษา และวิจัยชั้นนำของโลกทั้ง ไอดีซี การ์ทเนอร์ ฟอร์เรสเตอร์ หรือแมคคินซีแอนด์คอมปานี มักรายงานคาดการณ์แนวโน้มด้านไอที เพื่อเป็นไอเดียการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน หรือสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้ธุรกิจในทุกๆ ปี ปีนี้เห็นตรงกันว่า “คลาวด์ คอมพิวติ้ง บิ๊ก ดาต้า และการวิเคราะห์ข้อมูล ไอโอที ปัญญาประดิษฐ์ บล็อกเชน และความปลอดภัยทางไซเบอร์” ยังคงมีบทบาทสำคัญอย่างน้อยอีก 3-5 ปี ข้างหน้า องค์กรใดสามารถผสมผสานเทคโนโลยีเหล่านี้ และจัดวางการใช้งานได้ถูกที่ถูกทาง เท่ากับเป็นการปูรากฐานทางธุรกิจให้แข็งแกร่ง และสร้างความได้เปรียบสำหรับยุคเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งขับเคลื่อนด้วย “ฐานข้อมูล นวัตกรรม และปัญญาประดิษฐ์”

มัลติคลาวด์-บิ๊กดาต้าแรง

“สุภัค ลายเลิศ” กรรมการอำนวยการ และประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการบริษัท ยิบอินซอย จำกัด กล่าวว่า ที่ผ่านมา การเริ่มต้นใช้งาน “คลาวด์ คอมพิวติ้ง” ไม่ว่าจะเป็นคลาวด์ส่วนตัว คลาวด์สาธารณะ ไฮบริดคลาวด์ จะมองถึงความคุ้มทุน ที่เกิดจากการแชร์ใช้ทรัพยากรไอทีร่วมกัน ทั้งออนไลน์ และออฟไลน์ แต่จากนี้ไป คลาวด์จะมีบทบาทสนับสนุนการทำงานเพื่อสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจมากขึ้น และปีนี้ “มัลติคลาวด์” จะถูกพูดถึงเป็นพิเศษ ด้วยแนวทางเปิดกว้างให้องค์กรใช้งานคลาวด์จากผู้ให้บริการหลายรายควบคู่กัน ให้เหมาะกับความต้องการเฉพาะด้าน

ตัวช่วยใหม่ๆ ที่จะมาเติมประสิทธิภาพของคลาวด์ ได้แก่ “เอดจ์ คอมพิวติ้ง (Edge Computing)” ลดโหลดการทำงานบนคลาวด์โดยให้อุปกรณ์ปลายทางจัดการตัวเองได้ เสริมด้วย แอพพลิเคชันแบบไมโครเซอร์วิส ซึ่งพัฒนาแอพพลิเคชั่นแยกออกเป็นส่วนย่อยๆ ตามฟังก์ชั่นใช้งานให้ง่ายต่อการปรับปรุงแก้ไขผ่านคลาวด์ได้ด้วยเวลารวดเร็ว

สุภัค บอกว่า ยุคที่ผู้คนหันมานิยมแสดงความรู้สึกนึกคิด และพฤติกรรมผ่านแฮชแทค อิโมจิ สติกเกอร์ไลน์ หรือยูทูบ การหลั่งไหลของข้อมูลผ่านอุปกรณ์ไอโอที หรือการประกอบธุรกรรมออนไลน์ ทำให้ “บิ๊ก ดาต้า” โตขึ้นเรื่อยๆ ในระดับที่เราไม่คุยเป็น “เทราไบต์” กันแล้ว แต่เป็นการโตในระดับ “เซตตาไบต์ (Zettabyte)” ด้วยข้อมูลแบบมีโครงสร้างและไม่มีโครงสร้าง และหน้าตาที่หลากหลาย ซึ่งไม่ใช่แค่ตัวอักษรอีกต่อไป

เครื่องมือวิเคราะห์ บิ๊ก ดาต้า กำลังถูกพัฒนาให้ฉลาดขึ้นในการกลั่นกรองและวิเคราะห์ข้อมูลที่ใช่ และส่งต่อสู่กระบวนการสนับสนุนการตัดสินใจทางธุรกิจ หรือ บิซิเนส อินเทลลิเจนส์ เพิ่มมุมมองใหม่จากข้อมูลที่หลากหลายให้ผู้บริหาร รวมถึงต่อยอดสู่การสร้างนวัตกรรม เช่น เออาร์ วีอาร์ แมชชีนเลิร์นนิ่ง หรือ ปัญญาประดิษฐ์ ที่สามารถยกระดับการทำงาน หรือ เพิ่มโอกาสพัฒนาสินค้าหรือบริการที่โดนใจเข้าถึงตัวลูกค้าหรือผู้บริโภค ระดับที่รู้ว่า ชอบอะไร ซื้อเมื่อไหร่ และอนาคตอยากซื้ออะไร จนเกิดเป็นความภักดีต่อแบรนด์ยิ่งกว่าเดิม

“ไอโอที” อัจฉริยะขึ้น

ขณะที่ “ไอโอที” ให้เราได้มากกว่าแค่โปรโตคอลหนึ่งมีไว้เชื่อมต่ออุปกรณ์ แต่ คือ แพลตฟอร์มสามารถสร้างและขยายพื้นที่แสดงผล ส่งต่อข้อมูลหลากหลายไม่จำกัดโครงสร้าง ซึ่งองค์กรเอาไปประยุกต์ใช้ได้หลายทาง เช่น เป็นเครื่องมือส่งต่อนวัตกรรมข้อมูลในรูปแบบความจริงเสมือน (เออาร์/วีอาร์) เพื่อสื่อสารหรือปลุกกระแสความนิยมในสินค้าและบริการ หรือชูภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่งของแบรนด์ผ่านอุปกรณ์ BYOD ตรงถึงมือลูกค้า

"การต่อยอดไอโอทีในรูปของเซ็นเซอร์และอุปกรณ์อัจฉริยะ ที่ช่วยองค์กรในการตรวจติดตาม หรือควบคุมกระบวนการผลิตในงานอุตสาหกรรม คุณภาพของสินค้าหรือบริการ การใช้งานไอโอทีผลักดันการเติบโตของตลาดการค้าบนโลกออนไลน์ ทำให้เราสามารถขยายพื้นที่การขาย เพิ่มเติมฐานลูกค้า พบช่องทางสร้างรายได้ใหม่ให้ธุรกิจ"

นอกจากจะสร้างการรับรู้ โต้ตอบ หรือปฏิบัติการได้ทันทีที่ร้องขอ ยังช่วยยกระดับความเป็นนวัตกรรมของแบรนด์ในสายตาลูกค้า ขณะที่ ข้อมูลหรือพฤติกรรมการโต้ตอบของลูกค้ากับเอไอยังนำไปใช้วิเคราะห์ปรับปรุงเพื่อเพิ่มรายได้ และสร้างโอกาสการขาย เน้นนำเสนอในจุดที่ลูกค้าสนใจ หรือจากมุมที่ดีที่สุดของสินค้าและบริการจนสามารถเปลี่ยนการตัดสินใจจาก “เดี๋ยวค่อยซื้อ” เป็น “อยากซื้อเดี๋ยวนี้”

จับตาบล็อกเชน-ไซเบอร์ซิเคียวริตี้

บล็อกเชน เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่ สุภัค เห็นว่า ด้วยขีดความสามารถขยายผลจากโลกของฟินเทคสู่โลกของการจัดการธุรกิจ มีเป้าหมาย คือ สร้างความน่าเชื่อถือ โปร่งใส และตรวจสอบได้ ด้วยหลักการจัดเก็บฐานข้อมูลแบบกระจาย (Distributed Database) ที่ต่อตรงถึงกันทั้งหมดภายในเครือข่าย ไม่ต้องมีตัวกลางประมวลผลเหมือนฐานข้อมูลแบบรวมศูนย์ การปรับปรุงทุกฐานข้อมูลในเครือข่ายให้ทันสมัยจึงทำได้พร้อมกันทันที ลดทั้งเวลาและขั้นตอนทำงาน สร้างความโปร่งใสน่าเชื่อถือจากการที่ทุกฐานข้อมูลในเครือข่ายสามารถตรวจสอบย้อนกลับไป-มาซึ่งกันและกันถึงความถูกต้อง ที่มาที่ไป และการเคลื่อนไหวของข้อมูล หรือธุรกรรมต่างๆ ได้

ขณะเดียวกัน การขโมย ปลอมแปลง หรือทำลายระบบต้องเจาะถึงทุกฐานข้อมูลในเครือข่ายพร้อมๆ กันและในเวลาเดียวกันจึงจะสำเร็จ นั่นทำให้บล็อกเชนได้รับการยอมรับว่า มีความปลอดภัยสูง ตัวอย่างของบล็อกเชนที่ใช้ในเชิงธุรกิจ เช่น ไอบีเอ็มซึ่งได้พัฒนาแพลตฟอร์มบนบล็อกเชนที่ชื่อว่า “ฟู้ดทรัสต์ (Food Trust)” ในการติดตามตรวจสอบซัพพลายเชนที่อยู่ในกระบวนการจัดหาและส่งมอบผลิตผลทางอาหารถึงมือผู้บริโภค โดยตัวผู้บริโภคสามารถตรวจสอบย้อนกลับเพื่อยืนยันแหล่งที่มา คุณภาพ และความสดใหม่ของสินค้าได้

อีกสิ่งหนึ่งที่น่าจับตา คือ ประสิทธิภาพระบบความปลอดภัยทางไซเบอร์ ที่ต้องตอบโจทย์ให้ตรงจุดเรื่อง ป้องกันความเสี่ยงและสร้างความไว้วางใจ (Risk & Trust) ในอดีต เราเคยมี เกตเวย์ ไฟร์วอลล์ เป็นปราการป้องกันระบบไอทีองค์กร แต่ยังไม่พอสำหรับการปกป้องทรัพย์สินสารสนเทศโดยเฉพาะข้อมูลที่อยู่บนโลกออนไลน์และคลาวด์

สุภัค บอกว่า ไอดีซี เสนอแนะแนวคิด ซีโร่ ทรัสต์ ซีเคียวริตี้ (Zero Trust Security) บนหลักการว่า อย่าไว้ใจกันง่ายๆ โดยปัญญาประดิษฐ์ บล็อกเชน จะเป็นเทคโนโลยีที่เข้ามาเป็นส่วนสำคัญ สร้างความปลอดภัยข้อมูลบนคลาวด์หรือออนไลน์ในการตรวจจับผู้บุกรุกจากภายนอก และป้องกันการรั่วไหลโดยคนใน กูเกิลได้นำแนวคิดนี้ไปพัฒนาระบบความปลอดภัยของข้อมูล ภายใต้โครงการ”บียอน คอร์ป (Beyond Corp) แล้ว

นอกจากนี้ แพลตฟอร์มความปลอดภัยที่พัฒนาบนเอพีไอแบบเปิด เป็นอีกเครื่องมือหนึ่งที่เข้ามาอุดช่องโหว่ด้านความปลอดภัย องค์กรสามารถพัฒนาเพิ่มเติม หรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงเพื่อรับมือภัยคุกคามต่างๆ ได้รวดเร็ว

"ทั้งหมดนี้ เป็นปัจจัยช่วยเติมพลังให้องค์กร พร้อมสู้ศึกการแข่งขันในโลกยุคดิจิทัล โลกซึ่งความได้เปรียบด้านเทคโนโลยีและข้อมูล คือ หนึ่งในตัวชี้วัดความสำเร็จทางธุรกิจ" สุภัค ทิ้งท้าย