ชี้อย่าเลียนแบบสังคมสูงวัยญี่ปุ่น

ชี้อย่าเลียนแบบสังคมสูงวัยญี่ปุ่น

สสส.ระบุ ปี 64 ไทยสู่สังคมสูงวัยเต็มรูปแบบ นักวิชาการชี้อย่าเลียนแบบญี่ปุ่น ยกต้นแบบดูแลสังคมสูงวัยญี่ปุ่นมาใช้ในไทยทั้งหมดไม่ได้ ฝากคิดค้นนวัตกรรมที่เหมาะกับบริบทกับสังคมไทย

วันนี้ (11มี.ค.) สำนักงานกองทุนสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) ร่วมกับ เจแปนฟาวน์เดชั่น กรุงเทพฯ สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่น ประจำประเทศไทย สมาคมญี่ปุ่นแห่งประเทศไทย และ SASAKAWA PEACE FOUNDATION จัดงานเสวนาสาธารณะ หัวข้อ สังคมสูงวัยไทย – ญี่ปุ่น : สูงวัยอย่างมีพลังในโลกยุคดิจิทัล (Digital and Active Ageing in Japan and Thailand ) โดยมี นางภรณี ภู่ประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ สสส. กล่าวว่า สถานการณ์สูงอายุไทย ปี 2560 มีผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป จำนวน 11.8 ล้านคน คิดเป็น 17.1% คาดว่าประเทศไทยจะเป็นสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Complete Aged Society) ในปี 2564 โดยจะมีประชากรสูงอายุจะมีถึง 1 ใน 5 และในปี 2574 จะก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด นอกจากนั้น พบว่าประชากรไทยก่อนวัยสูงอายุกว่า 40 %ยังคงไม่ได้มีการเตรียมความพร้อมเพื่อเป็นผู้สูงอายุที่มีคุณภาพในอนาคต ทั้งด้านสุขภาพและความมั่นคงทางรายได้

นำร่องธนาคารเวลา42 พื้นที่ใน 28 จ.

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา สสส.พยายามสร้างความตระหนักถึงสถานการณ์สังคมสูงอายุของประเทศไทยที่จะส่งผลกระทบต่อภาพรวมของสังคม เช่น อัตราการเกิดที่น้อย ส่งผลถึงวัยแรงงานที่จะขาดแคลนในอนาคต การแบกรับภาระการดูแลครอบครัวของคนรุ่นใหม่ แม้ภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม รวมกันเตรียมพร้อมเพื่อรองรับสังคมสูงอายุอย่างต่อเนื่องแต่บทเรียนในการเตรียมความพร้อมและพัฒนาระบบเพื่อรองรับสังคมสูงอายุในมิติต่าง ๆ ของทั้งญี่ปุ่นและเกาหลีก็เป็นประเด็นน่าสนใจ มีการออกแบบนวัตกรรมที่ใช้ในการดูแลและพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ เช่น ธนาคารเวลา ศูนย์สวัสดิการสังคม โดยเฉพาะธนาคารเวลาที่ สสส.ได้ร่วมกับกรมกิจการผู้สูงอายุ (ผส.) ดำเนินการในพื้นที่นำร่องของกรุงเทพมหานคร และพื้นที่นำร่อง 42 พื้นที่ใน 28 จังหวัด โดยในส่วนของกรุงเทพฯ ได้ตั้งเป้าหมายไว้ 11 พื้นที่ แต่ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจน ว่าจะดำเนินการในพื้นที่ใดบ้าง อยู่ในกระบวนการคัดเลือกพื้นที่ ซึ่ง สสส. และสำนักงานเขตกรุงเทพมหานคร จะหารือร่วมกันว่าจะมีการใช้พื้นที่ไหนบ้าง เพราะจะต้องมีการบูรณาการในส่วนของสำนักงานเขตกรุงเทพมหานครในแต่ละเขต ซึ่งธนาคารเวลาเป็นนวัตกรรมทางสังคมที่เป็นประโยชน์สามารถประยุกต์ใช้ตามบริบทของสังคมไทย

ชี้ญี่ปุ่นไม่ใช่ตัวอย่างที่ดีรองรับสังคมสูงวัย

ดร.คิอิชิโร่ โออิซูมิ ผู้อำนวยการของสมาคมเอเชียศึกษา และสมาคมไทยศึกษาแห่งประเทศญี่ปุ่น กล่าวถึงความเหมือนและความต่างของนโยบายและมาตรการต่างๆในการเตรียมพร้อมสำหรับสังคมสูงวัยในญี่ปุ่นและไทย ตอนหนึ่งว่า ขณะนี้ประเทศไทยญี่ปุ่นและไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยเรียบร้อย และมีแนวโน้มในทิศทางเดียวกัน คือ อัตราเด็กเกิดน้อยลง ค่านิยมการแต่งงานเปลี่ยนไป ซึ่งจากการสอบถามผู้ชายรุ่นใหม่ของญี่ปุ่น พบว่าผู้ชาย 60% ตอบว่ามีแฟนเป็น AI หรือปัญญาประดิษฐ์ได้ ขณะที่อายุขัยเฉลี่ยยาวนานขึ้น โดยญี่ปุ่นอายุขัยเฉลี่ยราว 80 ปี คนไทยราว 70 ปี อย่างไรก็ตาม ประชากรหนุ่มสาวคนไทยยังมีเวลาเตรียมตัว หากมีการกำหนดให้ผู้สูงอายุมีอายุ 65 ปีขึ้นไปเหมือนญี่ปุ่น แต่ไทยนิยามให้ผู้สูงอายุต้องมีอายุ 60 ปีขึ้นไป ทำให้มีสัดส่วนผู้สูงอายุเร็วขึ้น ดังนั้น อยากให้ปรับเปลี่ยนแนวคิดเป็นสูงวัยที่มีความกระปรี้กระเปร่า(Active Ageing) ส่วนการเตรียมการรองรับหรือแก้ปัญหาสังคมผู้สูงวัยนั้นญี่ปุ่นอาจจะไม่ได้เป็นตัวอย่างที่ดีนักและกำลังประสบปัญหาเช่นกัน แต่อยากให้นำบางส่วนปรับใช้ เช่น ภาคประชาสังคมมีการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ดูแลผู้สูงอายุ เป็นการให้บริการดูแลผู้สูงอายุผ่านแอปพลิเคชัน อำนวยความสะดวกในการส่งผู้ดูแลอยู่เป็นเพื่อน ซื้อของ เป็นต้น

ผู้สูงวัยเกาหลีใต้ยากจนที่สุดในโลก

ดร.คิม ซุง-วอน อาจารย์ในมหาวิทยาลัยโตเกียว กล่าวในหัวข้อ “สถานการณ์ปัจจุบันและอนาคตของสังคมสูงวัยในเกาหลีใต้” ว่า สังคมเกาหลีใต้และไทยมีเวลา 18 ปี ในการเตรียมความเข้าสู่สังคม ขณะที่ญี่ปุ่นใช้เวลา 25 ปี ถือเป็นรุ่นพี่ที่มีการเตรียมความพร้อมมาก่อน เกาหลีใต้จึงนำเอาระบบประกันแบบบำนาญที่ดูแลผู้สูงอายุในระยะยาวของญี่ปุ่นมาเป็นแบบอย่างซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีแต่ความเป็นจริงญี่ปุ่นและเกาหลีมีความแตกต่างกันรัฐบาลญี่ปุ่นให้งบประมาณในการอุดหนุนมากกว่าทำให้ได้รับบริการที่ครอบคลุมเพียงพอในการดำเนินชีวิต โดยที่เกาหลีไม่สามารถเลียนแบบได้ เพราะหมายถึงการใช้งบประมาณจำนวนมากและการเป็นหนี้สาธารณะของประเทศ ทำให้ผู้สูงอายุของเกาหลีใต้เป็นผู้สูงอายุที่ยากจนที่สุดในโลก ต้องทำงานเมื่อแก่ชรา พึ่งพิงลูกหลาน และได้รับเงินสวัสดิการจำนวนน้อยนิด ดังนั้น เกาหลีจึงริเริ่มทำสิ่งใหม่ๆ ซึ่งจะประสบความสำเร็จได้มากกว่า

แนะสร้างนวัตกรรมเหมาะสมบริบทสังคม

ดร.คิม กล่าวต่อว่าในปี 2549 จึงตั้งศูนย์สวัสดิการสังคมในชุมชนขึ้น 4 แห่ง เพื่อทำงานขับเคลื่อนสังคมเป็นตัวกลางในการเชื่อมประสานระหว่างผู้สูงอายุและชุมชน ศูนย์สวัสดิการสังคมในชุมชนจึงเป็นทั้งโรงอาหาร ส่งอาหาร ตรวจสุขภาพ จัดกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ฯลฯ และยังมีเจ้าหน้าที่ที่คอยประสานกับเอกชนหรือร้านค้าในชุมชน ให้บริจาคเป็นบริการต่างๆ เช่น ตัดผม รับประทานอาหารในร้าน คาราโอเกะ โดยการใช้คูปอง ในปี 2558 จึงมีศูนย์สวัสดิการสังคมในชุมชน 454 แห่ง ถือเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุเป็นผลสำเร็จ อย่างไรก็ตาม การนำระบบดูแลของญี่ปุ่นมาใช้ในหลายๆเรื่องอาจไม่เหมาะกับบริบทของแต่ละพื้นที่ ดังนั้น อยากฝากให้มีการคิดนวัตกรรมที่เหมาะสมกับบริบทของคนไทย และระบบบำนาญถ้าไม่เหมาะสม ไม่สามารถส่งเงินบำนาญได้ ก็ไม่ควรนำมาใช้

แก้ปัญหาสังคมสูงวัย เริ่มจากครอบครัว

นายธนากร พรหมยศ ผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่มธุรกิจเพื่อสังคม Young Happy กล่าวว่าหลายคนอาจมองเห็นว่าผู้สูงอายุทำอะไรไม่ได้ แต่จริงๆ แล้ว ผู้สูงอายุ 65 ล้านคน ในอาเซียน ซึ่งในประเทศไทย มีผู้สูงอายุ 11 กว่าล้านคน โดย 80% เป็นผู้สูงวัยที่มีความแอคทีฟและเป็นพลังของสังคมในการเปลี่ยนแปลง แต่ขณะนี้สังคมไทยกำลังเปลี่ยนเป็นสังคมเมือง และมีผู้สูงอายุ 3 ล้านคนในเมืองไทย ซึ่งในจำนวนดังกล่าว 60% มีปัญหาสภาวะทางจิตใจ คือ เหงา ว่าง โดยความเหงาและความว่างนำไปสู่โรคต่างๆ เช่น สมองเสื่อม ซึ่ง Young Happy มองว่าแก้ปัญหาผู้สูงอายุต้องเริ่มจากพื้นฐานในครอบครัว และสามารถช่วยป้องกันไม่ให้ผู้สูงอายุป่วยได้ โดยได้สร้างสังคมสูงวัย เปิดให้ผู้สูงอายุได้ทำกิจกรรม เพื่อผ่อนคลาย และรู้จักการสร้างประโยชน์คุณค่าให้แก่ตัวเอง รวมถึงการเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ เพราะไม่มีผู้สูงวัยคนไหนที่อยากถูกทิ้งหรือถูกกีดกันจากสิ่งที่ตนเองไม่รู้ ดังนั้น การสานความสัมพันธ์ ความเข้าใจระหว่างวัย การสร้างสังคมแก่ผู้สูงอายุผ่านโลกโซเซียล แพลตฟอร์มต่างๆ จะช่วยผู้สูงอายุได้อย่างมาก