เข้าสู่โค้งสุดท้ายการเมือง คาดการเคลื่อนไหวของตลาดอยู่ในกรอบจำกัด

เข้าสู่โค้งสุดท้ายการเมือง คาดการเคลื่อนไหวของตลาดอยู่ในกรอบจำกัด

ตลาดหุ้นโลกตอบรับตัวเลขเศรษฐกิจที่ชะลอ

ตลาดหุ้นโลกโดยรวมปรับลดลง สะท้อนการปรับลดคาดการณ์การเติบโตเศรษฐกิจ (GDP) ของ OECD และ ECB รวมทั้งตัวเลขส่งออก ก.พ. ของจีนที่ลดลง 20.7% YoY รวมทั้งการที่ตัวเลขอัตราการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นเพียง 20,000 ตำแหน่ง ต่ำกว่าที่ตลาดคาด 180,000 ตำแหน่ง และต่ำสุดนับจาก ก.ย.60 อย่างไรก็ตามเราประเมินสถานการณ์ดังกล่าวไม่ใช่สิ่งที่น่ากังวลเกินไป เมื่อพิจารณาจากอัตราการว่างงานที่ยังลดต่ำลง รวมทั้งตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงที่ปรับเพิ่มขึ้น บ่งชี้ว่าตลาดแรงงานยังแข็งแกร่ง

ปัจจัยภายนอกสัปดาห์นี้ให้น้ำหนักกับ Brexit การเจรจาเพื่ออกจากยุโรปของอังกฤษยังคงไม่มีความคืบหน้า ในการลงความเห็นรอบนี้ 12 มี.ค. รัฐบาลไม่มีแผนการฉบับใหม่ ขณะที่เชื่อว่ารัฐสภาจะไม่รับรองให้ออกแบบไม่มีข้อตกลง (No-deal Brexit) และอาจต้องขอมติขยายเวลาการเจรจาออกไป ซึ่งหากทางสหภาพยุโรปไม่มีมติเอกฉันท์ เท่ากับอังกฤษต้องออกจากยุโรปโดยไม่มีข้อตกลง ซึ่งจะทำให้ตลาดกังวลความเสี่ยงต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกขึ้นมาในช่วงสั้นๆ แต่จะเป็นปัจจัยบวกต่อเงินทุนที่จะไหลเข้าตลาดเกิดใหม่ที่เติบโตดีกว่า ในระยะถัดไป

การเมืองกดดัน CDS ขึ้น บาทอ่อน เข้าสู่เกมส์ของการเจรจา อัตราประกันความเสี่ยงผิดนัดชำระของพันธบัตรอายุ 5 ปี ของไทย (CDS) ปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งมักจะเกิดขึ้นพร้อมการอ่อนค่าของเงินบาท ซึ่งอาจเป็นการสะท้อนความเสี่ยงทางการเมืองก่อนการเลือกตั้ง ซึ่งแม้มีข่าวลือเกี่ยวกับการเลื่อนการเลือกตั้ง แต่สถานการณ์ล่าสุดเรามองเป็นเกมส์ของการต่อรองทางการเมืองถึงความร่วมมือหลังเลือกตั้ง โดยมีปัจจัยสำคัญคือคะแนนเสียงของพรรคที่มากที่สุด เรามองนักลงทุนบางส่วนจะชะลอการลงทุนในช่วงก่อนการเลือกตั้ง ทำให้ตลาดมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 1610-1660 จุด

ปัจจัยภายใน-นอก กดดันตลาดผันผวน จุดเปลี่ยนอยู่ปลายเดือน ระวังแรงทำกำไรในหุ้นที่ปรับขึ้นมามาก ประเมินจุดเปลี่ยนจะอยู่ในช่วงปลายเดือนจาก 1) 12-14 มี.ค การโหวตรับข้อตกลง Brexit 2) 24 มี.ค. เลือกตั้งในประเทศ 3) 27 มี.ค. คาดสหรัฐฯ-จีน พบกันเพื่อทำข้อสรุปข้อตกลงการค้า นักลงทุนทยอยสะสมหุ้นใหญ่เมื่ออ่อนตัวโดยเรายังชอบหุ้นกลุ่มพลังงาน โรงกลั่น ปิโตรฯ ที่ราคาสะท้อนผลการดำเนินงานที่อ่อนแอไปแล้วในไตรมาส 4/61 อาทิ PTT, PTTEP, TOP, BCP, PTTGC, SCC รวมถึง หุ้นที่น่าสนใจอื่นๆ อาทิ AOT, ERW, MINT,STEC, PTTGC, TOP, GPSC, EGCO  

ภาพรวมกลยุทธ์: เคลื่อนไหวในกรอบ 1625-1640 จุด เน้นหุ้นที่มีปัจจัยบวก และยังปรับขึ้นไม่มาก จำกัดความเสี่ยงด้วยการตั้งจุดตัดขาดทุน // หุ้นแนะนำวันนี้ CPF, JMART* (เป้า 8.70 ตัดขาดทุน 7.40), TKN* (เป้า 12.50 ตัดขาดทุน 10)

แนวรับ 1625 / แนวต้าน : 1638 จุด สัดส่วน : เงินสด 40% : พอร์ตหุ้น 60%

ประเด็นการลงทุน

MSCI ปรับเกณฑ์คำนวณ – MSCI ปรับเกณฑ์ใช้ NVDR เข้าคำนวณ MSCI Thailand สัปดาห์นี้ คาดเพิ่มน้ำหนักหุ้นไทยขึ้นเป็นราว 3% จากเดิมที่ 2.5%

ยอดส่งออกจีนเดือนก.พ.ร่วงลง 20.7% – สำนักงานศุลกากรจีนรายงานยอดส่งออกเดือนก.พ.ร่วงลง 20.7% yoy และยอดนำเข้าลดลง 5.2% yoy ส่งผลให้มูลค่าการค้าต่างประเทศของจีนในเดือนก.พ. ลดลง 13.5%

GPSC – ปรับราคาซื้อหุ้น GLOW เป็น 91.9906 บาท/หุ้น จากเดิม 94.892 บาท ลดลงจากมูลค่าโรงไฟฟ้าที่เข้าซื้อน้อยลง (ไม่รวม SPP1 ที่ขายให้ BGRIM) ทั้งนี้เมื่อ 8 มี.ค. ทาง GPSC ได้รับหนังสือยืนยันจาก กกพ.เห็นชอบให้รวมกิจการกับ GLOW ได้  

หุ้นปันผลที่น่าสนใจ – BCP, CPF, DCC, DRT, EASTW, MAJOR, QH, TISCO, KKP

ประเด็นติดตาม: 12 มี.ค. – ลงมติข้อตกลง Brexit, 20 มี.ค. – ประชุม กนง. (ปรับคาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจไทย), 21 มี.ค. – BOE meeting

(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)