เส้นทางลงทุน ‘ไอที’ พลิกเกมค้าปลีกดิจิทัล

เส้นทางลงทุน ‘ไอที’ พลิกเกมค้าปลีกดิจิทัล

ภายในปี 2565 ค้าปลีกจะเป็นหนึ่งในห้าอุตสาหกรรมที่เติบโตรวดเร็วที่สุดทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และมีความเป็นไปได้อย่างมากว่า เทคโนโลยี “อินเทอร์เน็ตออฟธิงส์” หรือ “ไอโอที” จะกลายมาเป็นเครื่องมือสำคัญที่ถูกนำมาใช้ขับเคลื่อนธุรกิจของผู้ค้าปลีกทั่วโลก

โดยสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้ค้าปลีกคือ การสรรหากลยุทธ์มาสร้างความน่าสนใจดึงดูดสายตาลูกค้า พร้อมกับรักษาฐานลูกค้าในเวลาที่ตลาดมีการแข่งขันที่รุนแรง

รายงานเรื่องความสามารถในการเป็นผู้นำดิจิทัลในอุตสาหกรรมค้าปลีก โดย “อะโดบี” เผยให้เห็นถึงประเด็นสำคัญเกี่ยวกับการลงทุนด้านเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสบการณ์ให้แก่ลูกค้าหน้าร้าน ซึ่งได้รับความสนใจอย่างมากในประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ เริ่มตั้งแต่การเปลี่ยนการออกปบบร้านค้า ปรับพื้นที่ให้บริการเพื่อรองรับประสบการณ์ชอปปิงให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า

นอกจากนี้ เทรนด์ดิจิทัลสำหรับอุตสาหกรรมค้าปลีกชี้ว่า เพื่อจัดการปัญหาที่ผู้บริโภคพบเจอเวลาที่ไปชอปปิง ผู้ค้าปลีกจำเป็นต้องยกระดับประสบการณ์ลูกค้าให้ตรงตามความต้องการ โดยมีผู้ค้าปลีกในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกได้นำเทคโนโลยีไอโอทีมาใช้เพื่อบริหารจัดการช่องทางการให้บริการต่างๆ ตั้งแต่จุดรับชำระค้าสินค้าและบริการ การศึกษาพฤติกรรมการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและลักษณะของผู้บริโภค

สำหรับเทรนด์ที่น่าสนใจที่มีการนำไอโอทีเข้ามาใช้ดำเนินธุรกิจค้าปลีก ประกอบด้วยการต่อยอดประสบการณ์ลูกค้าด้วยเทคโนโลยี “บีคอน(Beacon)” และการทำตลาดให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย

โดยบีคอน คืออุปกรณ์บลูทูธขนาดเล็กที่ทำหน้าที่ระบุตำแหน่งและส่งข้อมูลแจ้งเตือนไปยังสมาร์ทโฟน เปิดตัวครั้งแรกโดยแอ๊ปเปิ้ลในปี 2556 ซึ่งปัจจุบันถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในเอเชียแปซิฟิก

รายงานจาก Graphical Research ประจำปี 2561 ได้คาดการณ์มูลค่าการเติบโตของเทคโนโลยีบีคอนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกไว้ว่า อาจมีมูลค่าสูงถึง 9 พันล้านดอลลาร์ในปี 2567 และจะเติบโตมากกว่า 100% ต่อปี ปัจจัยหลักมาจากจำนวนการใช้งานโมบายดีไวซ์ของประชากรในภูมิภาคที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

อาร์เอฟไอดีหนุนร้านค้าอัจฉริยะ

ปัจจุบัน ความพยายามในการพัฒนาปรับใช้เทคโนโลยีไอโอทีในหลากหลายมิติมีออกมาให้เห็นอย่างต่อเนื่อง เหตุผลสำคัญเนื่องจากทำให้การพัฒนา “ร้านค้าอัจฉริยะ” สามารถเกิดขึ้นจริงได้ในอนาคตอันใกล้ ที่ขาดไม่ได้ร้านค้าอัจฉริยะจะรวมเทคโนโลยี “อาร์เอฟไอดี(RFID)” การจดจำใบหน้าและการจดจำรูปภาพเพื่อบันทึกและติดตามประวัติการใช้บริการร้านค้า

กล้องที่ติดตั้งทั่วร้านค้าจะบันทึกอากัปกิริยาของลูกค้าและแผนที่เพื่อแสดงความถี่ของจุดที่ลูกค้าซื้อสินค้าประจำและความต้องการซื้อสินค้าของลูกค้าในแต่ละพื้นที่ไว้ ซึ่งเทคโนโลยีต่างๆ เหล่านี้จะช่วยให้การจัดการสินค้าในสโตร์ การแสดงผลสินค้าคงคลัง และการบริหารจัดการสินค้าหน้าร้าน ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

กรณีตัวอย่างที่น่าสนใจเช่น “เจดีดอทคอม” ยักษ์อีคอมเมิร์ซของจีนที่เปิดตัวร้านสะดวกซื้ออัจฉริยะแห่งแรกในกรุงปักกิ่งเมื่อเดือนต.ค.2560 ซึ่งปัจจุบัน มีร้านค้าลักษณะดังกล่าวเปิดดำเนินการกว่า 20 แห่งทั่วประเทศจีน และขณะนี้มีร้านค้าอัจฉริยะหนึ่งร้านที่เปิดให้บริการที่ประเทศอินโดนีเซีย

เมื่อปีที่แล้วพานาโซนิคร่วมกับ Trial Company เปิดตัวโซลูชั่นชำระเงินอัตโนมัติด้วยเทคโนโลยีอาร์เอฟไอดี เป็นรายแรกของอุตสาหกรรมค้าปลีกที่เปิดให้ลูกค้าในประเทศญี่ปุ่นสามารถชำระค่าสินค้าได้เพียงเดินผ่านจุดชำระเงิน โดยได้นำเทคโนโลยีอาร์เอฟไอดีมาฝังบนแท็กเพื่อระบุรหัสสินค้าซึ่งระบบดังกล่าวถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการคลังสินค้าและจุดรับชำระเงินหน้าร้าน

ในร้านทดลอง “Trial Lab” ได้นำฉลากอัจฉริยะที่ติดแท็กอาร์เอฟไอดี มาใช้แทนบาร์โค้ด UPC แท็ก RFID เป็นบาร์โค้ดอัจฉริยะที่สามารถเชื่อมต่อข้อมูลกับระบบเครือข่ายเพื่อติดตามสินค้าทุกชิ้นที่ใส่ไว้ในรถเข็นทำให้ลูกค้าสามารถชำระเงินอัตโนมัติเพียงเดินผ่านจุดรับชำระเงิน

อีอาร์พีเชื่อมออนไลน์-ออฟไลน์

อีอาร์พีไม่ได้ทำหน้าที่เพียงบริหารจัดการระบบงานหลังบ้านภายในองค์กรธุรกิจเท่านั้น วันนี้ถูกนำมาพัฒนาต่อยอดให้เกิดประโยชน์มากยิ่งขึ้น อย่างผู้ค้าปลีกสินค้าไลฟ์สไตล์และเครื่องใช้ไฟฟ้าสัญชาติอินเดีย “Tata CLiQ” เริ่มนำระบบอีอาร์พีมาใช้กับการทำงานของระบบออนไลน์และออฟไลน์ของร้านค้า นับเป็นกลยุทธ์ออมนิแชนแนลที่ดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โดยอีอาร์พีเป็นระบบการจัดการและวางแผนการใช้ทรัพยากรต่างๆ ขององค์กรที่ทำงานบนคลาวด์ ซึ่งจะรวมเอาขั้นตอนการดำเนินธุรกิจขององค์กรไว้ สามารถบริหารจัดการได้แบบเรียลไทม์ มีให้บริการทั้งในรูปแบบของซอฟต์แวร์และโซลูชั่น

ด้วยการบริหารจัดการสินค้าในสโตร์คือหนึ่งในความท้าทายของร้านค้าปลีก ขณะเดียวกันการติดแท็กให้กับสินค้าเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้การค้นหาสินค้าจากสโตร์และส่งข้อมูลไปยังระบบ พีโอเอสหน้าร้านทำได้สะดวกรวดเร็วมากขึ้นกว่าเดิม และการนำไอโอทีมาใช้จะช่วยลดความยุ่งยากในการติดตามสินค้าในสโตร์ แม้จะค้นหาสินค้าเพียงแค่ชิ้นเดียวก็สามารถทำได้

จากที่กล่าวมาข้างต้น แทบไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำไมผู้ค้าปลีกจึงควรให้ความสนใจกับการนำไอโอทีมาต่อยอดธุรกิจ เพราะอนาคตจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการดำเนินงาน พร้อมๆ ไปกับพลิกโฉมอุตสาหกรรมในเวลาเดียวกัน