'หมอธีระวัฒน์' โพสต์ผู้ตรวจการแผ่นดินเตรียมฟ้องมติไม่แบน3สารเคมี

'หมอธีระวัฒน์' โพสต์ผู้ตรวจการแผ่นดินเตรียมฟ้องมติไม่แบน3สารเคมี

“หมอธีระวัฒน์” โพสต์ ผู้ตรวจการแผ่นดินเตรียมฟ้องมติไม่แบน3สารเคมี เผยเกษตรแถลงเป็นเพียงข้ออ้าง

เมื่อวันที่ 15 ก.พ.62 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha โดยระบุว่า บุญของคนไทย!! เนื่องจากมีข่าวว่า ผู้ตรวจการแผ่นดินเตรียมฟ้องมติ ไม่แบนสารเคมีอันตราย 3 ชนิด

"ผู้ตรวจการแผ่นดินเตรียมเชิญคณะกรรมการวัตถุอันตรายและผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ชี้เเจงกรณีไม่ยกเลิกใช้สารเคมีอันตราย 3 ชนิด ในภาคการเกษตร

ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ยืนยันถึงข้อเสนอของผู้ตรวจการแผ่นดินที่ให้ยกเลิกสารเคมี 3 ชนิดคือพาราควอต คลอไพรฟอส และไกลโฟเสท ภายในสิ้นปีนี้ เนื่องจากคำนึงถึงอันตรายด้านสุขภาพแม้จะไม่เกิดขึ้นฉับพลันแต่ก็สะสมในร่างกาย และข้อมูลวิชาการด้านต่างๆ เห็นตรงกันว่าควรเลิกใช้สารอันตรายทั้ง3ชนิดนี้ ซึ่งหลายประเทศทั่วโลก ประกาศห้ามใช้พาราควอตเกือบทั้งหมดแล้ว ขณะนี้จะรอหนังสือจากคณะกรรมการวัตถุอันตรายชี้แจงเหตุผล ที่ไม่สามารถยกเลิกใช้สารอันตรายทั้ง 3 ชนิด ถ้าเหตุผลไม่เพียงพอ ผู้ตรวจการแผ่นดินก็จะทำหนังยืนยันข้อเสนอไปยังคณะรัฐมนตรีต่อไป

ด้านนายวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถีหรือไบโอไท กล่าวถึงแนวทางที่เครือข่ายสนับสนุนการแบนสารพิษที่มีอันตรายร้ายแรง ภาคประชาชน 686 องค์กร จะเดินหน้าให้แบนพาราควอตว่า จะสนับสนุนให้ผู้ตรวจการแผ่นดินยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช.รวมถึงฟ้องร้องต่อศาลปกครอง พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลแสดงความรับผิดชอบต่อมมตินี้ ทั้งนี้สถาบันวิจัยเกษตรวิศวกรรม มีสารทดแทนและนวัตกรรมกำจัดศัตรูพืช เพื่อใช้แทนสารอันตรายทั้ง 3 ชนิดได้ "

นอกจากนี้ นพ.ธีระวัฒน์ ยังระบุอีกว่า ข้อมูลจากไบโอไทย เกี่ยวกับคำชี้แจงของ นายลักษณ์ วจนานวัช รมช.เกษตรฯ รับลูกจากนายกฤษฎา บุญราช รมว.เกษตรฯแถลงมาตรการจำกัดการใช้พาราควอต ซึ่งในที่สุดแล้วมันจะเป็นเพียงข้ออ้างในการสร้างความชอบธรรมในการอนุญาตให้พ่อค้าสารพิษค้าขายสารพิษร้ายแรงต่อไปได้นั่นเอง ดังนี้

1) การจำกัดการใช้ที่ได้ผลที่สุด คือการกำหนดปริมาณการนำเข้าสารพิษร้ายแรง แต่ไม่มีประโยคใดๆหลุดออกมาจากกระทรวงเกษตร การนำเข้าสารพิษพาราควอตในที่สุดแล้วก็ปล่อยให้กลไกตลาดทำงานของไปโดยปราศจากการควบคุมใดๆนั้นเอง

2) การจำกัดการใช้พาราควอตที่มีประสิทธิภาพปกป้องชีวิตเกษตรกรและผู้บริโภคได้จริงๆนั้นต้องทำแบบบราซิลที่ป้องกันมนุษย์เป็นผู้ฉีดพ่น (ซึ่งขณะนี้ ANVISA ก็เห็นว่าไม่ปลอดภัยพอ และกำลังเสนอให้แบน) การดำเนินการแบบนี้ นายอัคคพล เสนาณรงค์ ผอ.สถาบันวิจัยเกษตรวิศวกรรมเห็นว่าต้นทุนสูงมาก สู้แบนพาราควอตไปเลยดีกว่า และเขาสนับสนุนให้มีการแบน

3) มาตรการที่บอกว่าจะควบคุมการใช้ในพื้นที่ต้นน้ำนั้น ไม่มีส่วนใดที่ดำเนินการกับกลุ่มธุรกิจการเกษตรเลย เช่น มาตรการที่ห้ามมิให้มีการซื้อผลผลิตที่ใช้พาราควอตจากพื้นที่ต้นน้ำเป็นต้น

3) ที่ผ่านมากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประสบความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการควบคุมและจำกัดการใช้สารพิษกำจัดศัตรูพืช เพราะแม้แต่สารพิษที่ผิดกฎหมายก็ปล่อยให้มีการขายกันอย่างโจ๋งครึ๋ม จากฐานข้อมูลของไทยแพนที่ตรวจสอบการตกค้างของสารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่ผิดกฎหมายตกค้างอยู่ในผลผลิตปลายทางมีสัดส่วนมากถึง 17% ของสารพิษตกค้างทั้งหมด ( 50 ตัวอย่างจาก 296 ตัวอย่าง)

ขนาดสารที่ผิดกฎหมายยังปล่อยให้ใช้ แล้วสารที่ยังอนุญาตให้ใช้ต่อ กระทรวงเกษตรฯจะทำได้หรือ

โดยสรุป มาตรการที่ว่ายังเบาบาง มิได้มีมาตรการพิเศษใดๆที่เพียงพอสำหร้บผู้ค้าสารพิษเลย และจะไม่มีทางปกป้องสุขภาพของเกษตรกร สิ่งแวดล้อม และการตกค้างที่มีผลต่อเนื่องมายังผู้บริโภคได้

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงข้ออ้างเอื้อประโยชน์ต่อพ่อค้าสารพิษ มากกว่าจะปกป้องประชาชน