'อีอีซี' ขีดเส้นเจรจารถไฟความเร็วสูงให้จบภายในเดือนก.พ. นี้

'อีอีซี' ขีดเส้นเจรจารถไฟความเร็วสูงให้จบภายในเดือนก.พ. นี้

"อีอีซี" ขีดเส้นเจรจารถไฟความเร็วสูงให้จบภายในเดือนก.พ. นี้ ยัน 5 โครงการเมกะโปรเจกต์ ได้ตัวผู้ลงทุนภายในเดือนเม.ย.นี้ เสร็จทันในรัฐบาลชุดนี้

นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กอพ.) เปิดเผยว่า แม้ว่าโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ทั้ง 5 โครงการ ได้แก่ โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน โครงการท่าเรือมาบตาพุด เฟส 3 โครงการท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3 โครงการศูนย์ซ่อมอากาศยานอู่ตะเภา และโครงการสนามบินอู่ตะเภา จะล่าช้ากว่าที่กำหนด แต่ก็ยังอยู่ในกรอบเวลาที่ตั้งไว้ โดยมั่นใจว่าโครงการทั้งหมดจะได้ตัวเอกชนผู้ดำเนินการได้ภายในเดือน เม.ย. นี้

โดยโครงการที่ล่าช้าที่สุด คือ โครงการท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3 ที่จะช้ากว่าที่กำหนดประมาณ 2 เดือน เพราะว่าตามกำหนดเวลาเดิมที่วางไว้ในวันที่ 14 ม.ค. 2562 มีผู้ยื่นซองเพียง 1 ราย ทำให้ต้องเลื่อนการยื่นซองออกไป เพราะว่าเอกชนที่เข้าซื้อซองประมูล 13 ราย จากทั้งหมด 32 ราย ไม่สามารถจัดทำรายละเอียดข้อเสนอได้ทัน ซึ่งทางคณะกรรมการคัดเลือกก็ได้เลื่อนเวลาออกไปตามที่ภาคเอกชนเสนอ โดยจะเปิดยื่นซองในวันที่ 15 มี.ค.นี้

ส่วนโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน หากเจรจากับกลุ่มซีพีไม่สำเร็จ ก็จะเจรจากับรายที่ 2 ได้ทันที ซึ่งได้กำหนดกรอบเวลาให้ได้ตัวผู้ลงทุนภายในสิ้นเดือนก.พ.นี้ โครงการสนามบินอู่ตะเภา เลื่อนไป 20 วัน เพื่อให้เอกชนมีเวลาในการดำเนินการ โครงการศูนย์ซ่อมอากาศยานก็ยังคงเป็นไปตามกรอบเวลาที่กำหนด โครงการท่าเรือมาบตาพุด เฟส 3 ก็จะเปิดยื่นซองข้อเสนอในวันนี้ (15 ก.พ.)

“โครงการขนาดใหญ่ที่มีอายุสัมปทาน 30-50 ปี การที่ขยายเวลาให้เอกชนจัดทำข้อเสนอตามที่กล่าวมานี้เป็นเรื่องปกติ ยังไม่กระทบต่อแผนการดำเนินการ ซึ่งการขยายเวลาออกไปก็เพื่อให้ได้นักลงทุนเข้ามายื่นข้อเสนอให้มากที่สุด เพื่อให้ประเทศชาติได้ประโยชน์สูงสุด หากเร่งรับเกิดไปได้เอกชนเข้ามายื่นข้อเสนอน้อยตัวเลือกก็จะน้อยลง”

ทั้งนี้ ตามขั้นตอน เมื่อคณะกรรมการคัดเลือกเอกชนแต่ละโครงการได้ตัวผู้ดำเนินงานแล้ว จะต้องเสนอเรื่องเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก่อน เพราะเป็นโครงการที่เกี่ยวข้องกับการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ซึ่งแม้ว่าจะจบภายในเดือนเม.ย. หลังการเลือกตั้ง แต่กฎหมายปัจจุบันกำหนดให้รัฐบาลนี้จะทำงานได้ตามปกติจนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่ จึงสามารถอนุมัติโครงการเหล่านี้ได้ รวมทั้งโครงการลงทุนเหล่านี้มีความจำเป็นสำหรับประเทศ