สารพัดปัจจัยลบฉุดดาวโจนส์ปรับตัวลง

สารพัดปัจจัยลบฉุดดาวโจนส์ปรับตัวลง

หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของเปิดเผยว่า ไม่มีแผนที่จะพบปะกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีนก่อนวันที่ 1 มี.ค.นี้

ดัชนีดาวโจนส์ ปิดตลาดวันศุกร์ (8ก.พ.)ปรับตัวร่วงลง สวนทางดัชนีเอสแอนด์พี500 และดัชนีแนสแด็ก เนื่องจากนักลงทุนยังมีความกังวลเกี่ยวกับการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน รวมทั้งการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ประกอบกับการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ซบเซา โดยคาดว่า ผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนจะลดลงกว่า 1% ในไตรมาสแรก ซึ่งจะเป็นการปรับตัวลงของผลกำไรรายไตรมาสเทียบรายปีเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 2 ปี

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปรับตัวลง 63.2 จุดหรือ 0.25% ปิดที่ 25,106.33 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เพิ่มขึ้น 1.83  จุดหรือ 0.07% ปิดที่ 2,707.88 จุดและดัชนีแนสแด็ก เพิ่มขึ้น 9.85 จุดหรือ  0.14% ปิดที่ 7,298.20 จุด

นายปีเตอร์ ออพเพนไฮเมอร์ นักวิเคราะห์ของโกลด์แมน แซคส์ กล่าวว่า นักลงทุนที่เคยคาดหวังว่า ตลาดหุ้นจะให้ผลตอบแทนเป็นกอบเป็นกำในปีนี้ คงต้องกลับไปคิดใหม่ 

พร้อมทั้งให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า ตลาดหุ้นปรับตัวซบเซาในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีที่แล้ว โดยได้รับผลกระทบจากการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (เบร็กซิท) และความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทปรับตัวย่ำแย่ที่สุดในเดือนธ.ค.นับตั้งแต่เกิดภาวะเศรษฐกิจซบเซาครั้งใหญ่

หลังจากนั้น ตลาดหุ้นสามารถดีดตัวขึ้นในช่วงต้นปีนี้ ส่งผลให้ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นมากกว่า 7% และตลาดหุ้นยุโรปทะยานขึ้นมากกว่า 6% แต่นายออพเพนไฮเมอร์ เตือนว่า เมื่อมองจากปัจจัยพื้นฐานพบว่า การขยายตัวของผลกำไรจะอ่อนแอในปีนี้ในทุกภูมิภาคของโลก ทำให้มีการคาดการณ์ว่า ตลาดจะให้ผลตอบแทนต่ำ ขณะที่มีการปรับตัวในช่วงแคบๆ

คำกล่าวของนายออพเพนไฮเมอร์มีขึ้น ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก

ขณะที่หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล รายงานว่า ในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน เจ้าหน้าที่ของทั้งสองฝ่ายยังไม่ได้บันทึกรายละเอียดของการเจรจาเป็นลายลักษณ์อักษร แม้ว่าใกล้ถึงวันที่ 1 มี.ค. ซึ่งเป็นเส้นตายที่ทั้งสองฝ่ายกำหนดไว้สำหรับการบรรลุข้อตกลงทางการค้า และทั้งสองฝ่ายยังไม่ได้ร่างข้อตกลงที่ระบุถึงประเด็นที่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วย