กกต.เผยยอดสมัคร ส.ส.เขตครั้งประวัติศาสตร์ 11,128 คน

กกต.เผยยอดสมัคร ส.ส.เขตครั้งประวัติศาสตร์ 11,128 คน

กกต.ขอทุกพรรคอดใจรอ 15 ก.พ. ให้ประกาศรับรองแคนดิเดตนายกฯ ก่อนขึ้นใช้รูปขึ้นป้ายหาเสียง เชื่อทุกพรรคการเมืองรู้ขอบเขตกฎหมาย อะไรทำได้-ไม่ได้

เมื่อวันที่ 8 ก.พ. ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการ กกต.แถลงภาพรวมการรับสมัครส.ส.ระบบแบ่งเขต (ข้อมูล ณ เวลา 17.00 น. )ว่า รวมยอดสมัคร  5 วัน จำนวน 11,128  คน เป็นผู้สมัครจากพรรคการเมือง 80 พรรค และมีพรรคการเมืองยื่นสมัครแบบบัญชีรายชื่อรวม 5 วัน เป็นการสมัครจาก 72 พรรคการเมือง จำนวน 2,718 คน ในส่วนของการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรี เฉพาะวันนี้ (8 ก.พ.) มีพรรคการเมืองยื่นเสนอ 7 พรรค จำนวน 9 รายชื่อ ยอดรวม 5 วัน มีทั้งสิ้น 33 พรรค จำนวน 52 รายชื่อ โดยในวันที่ 15 ก.พ.นี้ กกต.จะประกาศรายชื่อ แจ้งเป็นผู้มีสิทธิสมัครส.ส.แบบแบ่งเขต และแบบบัญชีรายชื่อ รวมถึงผู้ที่ได้รับเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีของแต่ละพรรคว่า มีคุณสมบัติครบถ้วนหรือไม่

พ.ต.อ.จรุงวิทย์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมกกต.ยังได้พิจารณากรณีร้องให้ลบหรือแก้ไขการหาเสียงทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีมติให้ลบเปลี่ยนแปลง แก้ไขการหาเสียงทางอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นการใส่ร้ายตามที่คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทย ร้องเรียน และหลังจากนี้พิจารณาตั้งคณะกรรมการไต่สวนว่าเรื่องดังกล่าว เกี่ยวข้องกับผู้สมัคร พรรคการเมืองหรอผู้ใด หากพบว่ามีความผิดของบุคคลทั่วไป กกต.จะดำเนินคดีอาญา แต่ถ้าเกี่ยวข้องกับผู้สมัครจะพิจารณาตัดสิทธิสมัคร หากเกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองอาจมีความผิดถึงขั้นยุบพรรค อย่างไรก็ตาม อยากเตือนไปถึงผู้ใช้โซเชียลมีเดียในการหาเสียงขอให้ระมัดระวังการหาเสียงที่จะเข้าข่ายการใส่ร้ายป้ายสี เพราะอยู่ในช่วงการเลือกตั้ง ซึ่งกฎหมายกำหนดว่าเป็นความผิดมีโทษสูงทั้งจำทั้งปรับ

ด้านนายณัฐฏ์ เล่าสีห์สวกุล รองเลขาธิการกกต. กล่าวถึงการตรวจสอบคุณสมบัติผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกฯ ว่า การตรวจสอบคุณสมบัติผู้สมัคร ส.ส.เขตเป็นอำนาจของผอ.กกต.เขต ส่วนส.ส.บัญชีรายชื่อ กฎหมายก็เขียนชัดว่าเป็นอำนาจของกกต. แต่สำหรับคุณสมบัติของผู้ได้รับเสนอชื่อเป็นนายกฯ กกต.ยังเห็นว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า กกต.มีอำนาจพิจารณาหรือไม่ หรือมีอำนาจเพียงประกาศรายชื่อตามที่พรรคเสนอมา แต่เบื้องต้นเท่าที่อ่านกฎหมาย น่าจะมีอำนาจแค่ประกาศ แต่ทั้งนี้ทางสำนักงานฯกำลังศึกษาข้อกฎหมายทั้งหมด และจะเสนอต่อที่ประชุมกกต.พิจารณาในสัปดาห์หน้า

อย่างไรก็ตาม หาก กกต.เห็นว่า กฎหมายให้อำนาจ กกต.ตรวจสอบคุณสมบัติได้ ก็จะนำคุณสมบัติของผู้สมัคร ส.ส. มาเป็นหลักในการพิจารณาร่วมกับคุณสมบัติของรัฐมนตรี รวมถึงจะไปดูว่ามีคำร้องว่าขอให้กกต.ตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ได้รับการเสนอชื่อรายใดหรือไม่ โดยจะต้องดูเบื้องต้นก่อนว่า ผู้ร้องมีอำนาจยื่นคำร้องหรือไม่ก่อน ซึ่งปัจจุบันที่มีการยื่นคำร้องปรากฏทางสื่อ เป็นการร้องเรื่องการนำสถาบันฯมาใช้หาเสียง ไม่เกี่ยวข้องกับคุณสมบัติ ทั้งนี้ เมื่อกกต.ประกาศรายชื่อของผู้ได้รับเสนอชื่อเป็นนายกฯแล้วผู้ที่ไม่ได้รับการประกาศชื่อไม่สามารถใช้สิทธิทางศาลได้ ต่างจากผู้ที่ไม่ได้รับการประกาศชื่อเป็นผู้สมัคร ส.ส.

เมื่อถามว่า พรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) สามารถนำรูปแคนดิเดตนายกฯของพรรคขึ้นป้ายหาเสียงได้เลยหรือไม่ พ.ต.อ.จรุงวิทย์ กล่าวว่า ตามระเบียบกกต. ว่าด้วยวิธีการหาเสียงและลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้ง ส.ส. 2561 ข้อ 17 กำหนดไว้ว่า ห้ามผู้สมัครพรรคการเมืองหรือผู้ใดนำสถาบันพระมหากษัตริย์มาหาเสียงเลือกตั้ง ดังนั้น กกต.คงต้องพิจารณาก่อน และถ้าจะให้ดีทุกพรรคควรรอการประกาศรับรองจากกกต.ในวันที่ 15 ก.พ.ก่อน อย่างไรก็ตาม พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ปัดที่จะอธิบายรายละเอียดว่าพรรค ทษช.จะมีขอบเขตในการนำแคนดิเดตนายกฯ ไปใช้หาเสียงได้อย่างไร โดยอ้างว่าทุกพรรคทราบดีอยู่แล้วว่าอะไรทำได้ ไม่ได้แค่ไหน ในช่วงของการเลือกตั้ง