เลื่อนอ่านฎีกาครั้งแรก 6แกนนำพธม.บุกทำเนียบ รออ่าน13ก.พ.นี้

เลื่อนอ่านฎีกาครั้งแรก 6แกนนำพธม.บุกทำเนียบ รออ่าน13ก.พ.นี้

"สุริยะใส" อดีตผู้ประสานงาน พธม. ป่วยส่งใบรับรองแพทย์แจ้งศาลเป็นความดันสูง ศาลให้โอกาส รออ่านเช้า 13 ก.พ.นี้ "พิภพ" บอกไม่กังวล หากติดคุกจะทำงานใช้วิชาการช่วยคนจน

ที่ห้องพิจารณา 807 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก เมื่อเวลา 10.00 น. ศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีอดีตแกนนำพันธมิตรฯ บุกทำเนียบรัฐบาล เมื่อปี 2551 หมายเลขดำ อ.4925/2555 ที่ พ.ต.ต.สุรพงษ์ สายวงศ์ อัยการฝ่ายคดีอาญา 10 ได้เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง อายุ 83 ปี , นายสนธิ ลิ้มทองกุล อายุ 70 ปี , นายพิภพ ธงไชย อายุ 72 ปี , นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ อายุ 68 ปี นายสมศักดิ์ โกศัยสุข อายุ 72 ปี อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) และนายสุริยะใส กตะศิลา อายุ 45 ปี อดีตผู้ประสานงาน พธม. เป็นจำเลยที่ 1-6 ในความผิดฐานร่วมกันบุกรุกโดยกระทำความผิดตั้งแต่สองคนขึ้นไป และร่วมกันทำให้เสียทรัพย์กรณีบุกรุกเข้าไปในทำเนียบรัฐบาล ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358, 362 และ 365

โดยวันนี้ ศาลได้เบิกตัว "นายสนธิ" จำเลยที่ 2 มาจากเรือนจำกลางคลองเปรมซึ่งรับโทษจำคุก 20 ปี คดี พ.ร.บ.ตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อมาฟังคำพิพากษาคดีชุมนุมฯ วันนี้ ส่วน พล.ต.จำลอง , นายพิภพ , นายสมเกียรติ์ , นายสมศักดิ์ ที่ได้ประกันตัวระหว่างฎีกาสู้คดี คนละ 200,000 บาท ก็เดินทางมาพร้อมฟังคำพิพากษา ขาดเพียง "นายสุริยะใส" จำเลยที่ 6 ไม่มาศาลเนื่องจากป่วย โดยทนายความนำใบรับรองแพทย์มาแสดงต่อศาล ซึ่งเมื่อถึงเวลานัด ทนายความจำเลย ได้แถลงต่อศาลว่า "นายสุริยะใส" จำเลยที่ 6 มีอาการป่วยท้องเสีย และความดันโลหิตสูง จึงไม่สามารถมาฟังคำพิพากษาได้ พร้อมแสดงใบรับรองแพทย์ต่อศาล

ขณะที่ "นายสนธิ" จำเลยที่ 2 ก็ได้แถลงต่อศาล ขอถอนคำร้องขอถอนฎีกาที่ได้ยื่นไว้เมื่อวันที่ 18 ม.ค.ที่ผ่านมา ทั้งนี้ "ศาล" พิเคราะห์แล้วเห็นว่า "นายสุริยะใส" จำเลย 6 มีการป่วยท้องเสีย และความดันโลหิตสูง โดยเข้ารับการรักษาตั้งแต่วันที่ 31 ม.ค.ที่ผ่านมา และมีใบร้องแพทย์ จึงเชื่อว่าจำเลยที่ 6 มีอาการป่วยจริง ทำให้ไม่สามารถมาฟังคำพิพากษาได้ ส่วนนายสนธิ ศาลก็อนุญาตให้ถอนคำร้องขอถอนฎีกาได้ โดย "ศาล" เห็นควรเลื่อนไปอ่านคำพิพากษาฎีกาอีกครั้ง ในวันที่ 13 ก.พ.นี้ เวลา 10.00 น.

ขณะที่ "นายพิภพ" กล่าวถึงคดีว่า ไม่มีความกังวลใจอะไร เนื่องจากตนเองและคนอื่นๆ ต่อสู้เพื่อความถูกต้องมาโดยตลอด แม้ว่าผลการตัดสินจะออกมาว่าติดคุกก็จะไปทำงานในคุก เราเป็นนักวิชาการก็เข้าไปคุยกับคนยากจนที่อยู่ในคุกได้ ด้าน "นายสมเกียรติ" กล่าวว่า ตนอยากให้สังคมได้ตื่นตัว เพราะเราต่อสู้เพื่อชาติมาตลอด จะติดคุกหรือไม่ติดคุกรับได้ทั้งนั้น ตนภูมิใจและดีใจมากที่ได้ออกมาเคลื่อนไหวกับประชาชนนับแสนคน ไม่มีครั้งใดที่ภูมิใจเท่าครั้งนี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คดีนี้อัยการโจทก์ ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 27 ธ.ค.55 บรรยายความผิดสรุปว่า เมื่อวันที่ 25 พ.ค.51 ผู้ชุมนุมกลุ่ม พธม. ซึ่งมีจำเลยดังกล่าวเป็นแกนนำได้จัดปราศรัยชักชวนประชาชนเข้าร่วมชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถ.ราชดำเนิน เพื่อกดดันให้นายสมัคร สุนทรเวช ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยเคลื่อนขบวนฝ่าแนวกั้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจไปทำเนียบรัฐบาลและกระจายกำลังปิดล้อมสถานที่ราชการ เช่น สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย และสถานีวิทยุกระจายเสียง กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรฯ ต่อมาหลังจากนายสมัคร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญแล้ว นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งแทน และมีกำหนดวันแถลงนโยบายต่อรัฐสภาในวันที่ 7 ต.ค.51 ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 26 ส.ค.51 เวลากลางวัน จำเลยทั้งหกกับพวกก็ได้เคลื่อนขบวนไปยังทำเนียบรัฐบาลโดยปิดล้อมทางเข้าออกทำเนียบรัฐบาลทุกด้าน ได้ใช้เครื่องมือทำลายกุญแจประตูทำเนียบ ผลักดันแผงกั้นที่เจ้าหน้าที่ใช้ควบคุมดูแลความสงบเรียบร้อยในทำเนียบรัฐบาล แล้วปีนรั้วเข้าไปในทำเนียบรัฐบาล รวมทั้งนำรถ 6 ล้อที่ติดเครื่องขยายเสียงขนาดใหญ่ไปจอดหน้าตึกไทยคู่ฟ้าทำเนียบรัฐบาลแล้วผลัดเปลี่ยนกันขึ้นปราศรัย โดยช่วงวันที่ 26 ส.ค.51 - 3 ธ.ค.51 ระหว่างที่พวกจำเลยจัดเวทีปราศรัยในทำเนียบรัฐบาล มีผู้ชุมนุมจำนวนมากเหยียบสนามหญ้า ต้นไม้ประดับจนตาย และยังทำให้ระบบสปริงเกอร์อัตโนมัติ ระบบไฟสนามหน้าตึกไทยคู่ฟ้าและหน้าตึกสันติไมตรี ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้รับความเสียหายรวม 5 ล้านบาท อีกทั้งมีการนำถุงดำห่อหุ้มกล้องวงจรปิด เมื่อมีฝนตกทำให้น้ำฝนซึมเข้าขังในถุงดำที่ห่อหุ้ม ทำให้ระบบอิเล็กโทรนิกส์ของกล้องวงจรปิดเสียหายรวม 10 ตัว ค่าเสียหายอีก 1,766,548 บาท โดยจำเลยทั้ง 6 คนให้การปฏิเสธ กระทั่งศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 28 พ.ค.58 ว่า จำเลยทั้งหกกระทำความผิดฐานบุกรุกสถานที่ราชการ จำคุกคนละ 3 ปี แต่คำให้การเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกคนละ 2 ปีโดยไม่รอลงอาญา

ต่อมาจำเลยทั้งหกได้ยื่นอุทธรณ์ต่อสู้คดี และมีการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 24 ก.ค.60 ซึ่งศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยทั้งหกซึ่งมีการศึกษา ย่อมต้องรู้ว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการผิดกฎหมายที่ทำให้เสียทรัพย์ราชการและส่งผลกระทบต่อการบริหารราชการแผ่นดินโดยกระทบต่อเนื่องถึงประโยชน์สาธารณะ และล่วงเลยจากขอบข่ายการแสดงออกทางประชาธิปไตย แต่เนื่องจากการกระทำของจำเลยทั้งหกไม่ได้มุ่งเน้นประโยชน์ส่วนตนเพื่อกลุ่มบุคคลใดบุคคลหนึ่ง และไม่ได้ประทุษร้ายบุคคล อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน โดยที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยคนละ 2 ปีนั้นหนักเกินไป เห็นควรปรับบทลงโทษให้เหมาะสมกับพฤติการณ์ จึงพิพากษาแก้ เป็นจำคุกจำเลยคนละ 1 ปี คำให้การของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยทั้งหก คนละ 8 เดือนโดยไม่รอลงอาญา