สคร.ยันลงทุนรัฐไม่เอื้อประโยชน์นายทุน

สคร.ยันลงทุนรัฐไม่เอื้อประโยชน์นายทุน

สคร.ยันไม่มีการเอื้อประโยชน์นายทุนในTFFIF ส่วนร่าง พ.ร.บ. พัฒนารัฐวิสาหกิจฯ ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาก็ไม่มีบทบัญญัติในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งบรรษัทวิสาหกิจแห่งชาติ

นายชาญวิทย์ นาคบุรี รองผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) กระทรวงการคลัง ในฐานะโฆษก สคร. ชี้แจงข้อวิจารณ์จากแฟนเพจ pramote nakornthab ของนายปราโมทย์ นาครทรรพ ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับภารกิจของ สคร. ในเรื่อง 1.การระดมทุนผ่าน กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตแห่งประเทศไทย (Thailand Future Fund : TFFIF) ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) 2.การให้เอกชนร่วมลงทุนในโครงการทางหลวงพิเศษสายบางปะอิน-โคราช และบางใหญ่-กาญจนบุรี และ 3.การจัดตั้งบรรษัทวิสาหกิจแห่งชาติภายใต้ร่างพระราชบัญญัติ การพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. .... (ร่าง พ.ร.บ. พัฒนารัฐวิสาหกิจฯ) ดังนี้ กรณี TFFIF เป็นทางเลือกในการระดมทุนในการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานของรัฐที่ต้องการเงินลงทุนจำนวนมาก สำหรับการระดมทุนผ่าน TFFIF ของ กทพ.เป็นการนำกระแสเงินสดบางส่วนที่จะได้รับในอนาคตของทางด่วนสายฉลองรัชและทางด่วนสายบูรพาวิถี โอนให้แก่ TFFIF เพื่อให้ กทพ. นำเงินที่ได้รับจากการระดมทุนผ่าน TFFIF เพื่อนำไประดมทุน ลงทุนพัฒนาโครงการทางพิเศษของ กทพ. ได้รวดเร็วมากขึ้น ส่งผลถึงประชาชนได้รับบริการได้เร็วขึ้นด้วย โดยการจัดตั้งและระดมทุนของ TFFIF ดำเนินการตามประกาศและหลักเกณฑ์ของสำนักงาน ก.ล.ต.มีการจัดสรรให้ประชาชนรายย่อยให้ได้รับการจัดสรรหน่วยลงทุนอย่างเท่าเทียมหรือเรียกว่า Small Lot First ซึ่งอยู่บนหลักการในการจัดสรรให้แก่ประชาชนรายย่อยในประเทศเป็นสัดส่วนหลักตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2560 ทำให้การเสนอขายหน่วยลงทุนต่อนักลงทุนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ของ TFFIF มีการจัดสรรให้แก่ประชาชนรายย่อยมากที่สุดในสัดส่วนมากกว่า 50% ของจำนวนที่เสนอขาย นอกจากนี้ ในส่วนที่มีการจัดสรรหน่วยลงทุนให้แก่นักลงทุนสถาบันได้จัดสรรให้นักลงทุนในประเทศเท่านั้นและเน้นให้มีประชาชนรายย่อยเป็นผู้ลงทุนหลักด้วย โดยไม่ได้มีการจัดสรรให้แก่บุคคลรายใดรายหนึ่งเป็นการเฉพาะ ประเด็นโครงการมอเตอร์เวย์บางปะอิน-โคราช และบางใหญ่-กาญจนบุรีที่ระบุว่า ใช้เงินภาษีประชาชนสร้างจำนวน 1.4 แสนล้านบาท แต่กลับไม่สามารถบริหารจัดการด่านเก็บเงินได้ ต้องให้ภาคเอกชนเข้ามารับสัมปทานเป็นผู้ทำด่านเก็บเงินค่าผ่านทาง โดยรัฐจ่ายค่าจ้างให้เอกชนปีละ 2,000 ล้านบาท สัญญา 30 ปี ได้รับประโยชน์อย่างง่ายดาย โดยไม่มีความเสี่ยงแต่อย่างใด ขอชี้แจงว่า รูปแบบการให้เอกชนร่วมลงทุนในโครงการดังกล่าวเป็นไปตามผลการศึกษาและวิเคราะห์โครงการของกรมทางหลวงโดยความเห็นชอบของกระทรวงคมนาคม โดยในการนำเสนอมีข้อสรุปว่า ภาครัฐจะเป็นผู้ลงทุนโครงสร้างงานโยธา และให้เอกชนจะเป็นผู้ออกแบบและลงทุนค่าก่อสร้างงานระบบ ศูนย์ควบคุมการจราจร และระบบต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งดำเนินงานและบำรุงรักษา ในการให้เอกชนร่วมลงทุนดังกล่าว เงินค่าผ่านทางทั้งหมดจะเป็นกรรมสิทธิ์ของรัฐ โดยเอกชนจะได้รับค่าตอบแทนจากการลงทุนและทำ O&M ซึ่งค่าตอบแทนของเอกชนจะขึ้นอยู่กับผลการประมูลแข่งขันที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ นอกจากนี้ การกำหนดเงื่อนไขในการจ่ายค่าตอบแทนข้างต้นจะเชื่อมโยงกับผลการดำเนินงานของเอกชน รวมถึงสามารถปรับลดค่าตอบแทนหากเอกชนปฏิบัติงานไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่ได้ตกลงไว้ด้วย ส่วนประเด็นการจัดตั้งบรรษัทรัฐวิสาหกิจ โดยอ้างว่าเพื่อให้รัฐสามารถดูแลผลประโยชน์ได้ แต่ตามข้อเท็จจริงเป็นการเปิดทางให้แก่นายทุนเข้ามาถือครองแทน ชี้แจงว่า ปัจจุบันร่าง พ.ร.บ. พัฒนารัฐวิสาหกิจฯ อยู่ระหว่างการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งมีการแต่งตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นเพื่อตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติฯ ในรายละเอียด โดยในการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ. พัฒนารัฐวิสาหกิจฯ ได้มีการรับฟังความคิดเห็นของทุกภาคส่วน ทั้งนี้ ร่าง พ.ร.บ. พัฒนารัฐวิสาหกิจฯ ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาไม่มีบทบัญญัติในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งบรรษัทวิสาหกิจแห่งชาติ