พิพากษาจำคุก1เดือน หนุ่มขี่จยย.ทางเท้า เฉี่ยวนร.หญิงล้มบาดเจ็บ

พิพากษาจำคุก1เดือน หนุ่มขี่จยย.ทางเท้า เฉี่ยวนร.หญิงล้มบาดเจ็บ

ศาลแขวงฯพิพากษาจำคุก 1 เดือน หนุ่มแมสเซ็นเจอร์ขี่จยย.ทางเท้า เฉี่ยวนร.หญิงล้มบาดเจ็บ เผยให้รับสารภาพ และไม่เคยต้องโทษอาญามาก่อน ศาลปรานีเปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังแทน 1 เดือน แต่ไม่รอลงอาญา ศาลชี้พฤติการณ์ร้ายแรง

23 ม.ค.62 ที่ศาลแขวงพระนครเหนือ ถ.รัชดาภิเษก เมื่อเวลา 10.00 น. ศาลอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อ.8112/2561 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีศาลแขวง 2 (รัชดา) เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายภูวดล ศรีสำโรง อายุ 23 ปีเศษ อาชีพรับ-ส่งเอกสาร (แมสเซ็นเจอร์) ที่ขี่รถจักรยานยนต์ชนเด็กนักเรียนหญิง โรงเรียนบดินทรเดชา 3 บนทางเท้าได้รับบาดเจ็บ เป็นจำเลย

ในความผิดฐานผู้ใดกระทำโดยประมาท และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายแก่กายและจิตใจ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 390 , ขับขี่รถโดยประมาทหรือน่าหวาดเสียว อันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน , ขับรถบนทางเท้าโดยไม่มีเหตุสมควร , ขับขี่โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่น พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 32 , 43 (4)(7)(8) , 157 , 160 รวม 4 ข้อหา โดยระบุพฤติการณ์ความผิดสรุปว่า เมื่อวันที่ 26 พ.ย.61 เวลากลางวัน จำเลยได้ขี่รถ จยย. ทะเบียน 6 กฎ 6283 กทม.ไปตาม ถ.ลาดพร้าว จากทาง ถ.พหลโยธิน มุ่งหน้าไปทาง ซ.ลาดพร้าว 112 ด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังที่ต้องมีตามวิสัย ซึ่งจำเลยได้ขี่รถมาตาม ถ.ลาดพร้าว ด้วยความเร็ว เมื่อไปถึงบริเวณป้ายรถประจำทางใกล้ปาก ซ.ลาดพร้าว 69 แขวงสะพานสอง เขตวังทองหลาง โดยถนนเส้นนั้นเป็นทางเดินรถที่จัดแบ่งช่องเดินรถไว้ 2 ช่อง และมีทางเท้าอยู่ด้วย แต่จำเลยกลับขี่รถขึ้นบนทางเท้าโดยไม่มีเหตุสมควรและขี่ด้วยความเร็วโดยไม่ให้สัญญาณเตือนคนเดินเท้าให้รู้ตัว อันเป็นการขี่รถโดยประมาทน่าหวาดเสียวที่อาจเกิดอันตรายต่อบุคคลและทรัพย์สิน และไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่น ซึ่งขณะนั้นเด็กนักเรียน ผู้เสียหาย เดินอยู่บนทางเท้าบริเวณป้ายรถเมล์ใกล้ปากซอยลาดพร้าว 69 ถูกเฉี่ยวชนอย่างแรงจนล้มลง ได้รับบาดเจ็บมีอาการปวดที่สะโพก และแผลถลอกที่บริเวณขาทั้งสองข้าง เหตุเกิดที่แขวงสะพานสูง เขตวังทองหลาง กทม.

ต่อมาวันที่ 27 พ.ย. 61 เวลา 18.00 น. พนักงานสอบสวน สน.โชคชัย ได้แจ้งข้อกล่าวหาให้จำเลยทราบ และยึดรถ จยย. คันเกิดเหตุ ไว้เป็นของกลาง ขณะที่ชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา และภายหลังเกิดเหตุจำเลยกับผู้เสียหายได้ตกลงชดใช้ค่าเสียหายแล้ว ซึ่งอัยการยังระบุด้วยว่า การขี่รถ จยย. ของจำเลยเป็นการรบกวนความสงบสุข ความปลอดภัยของคนเดินเท้า และการกระทำผิดดังกล่าวเป็นภัยอันตรายแก่บุคคลและทรัพย์สินของผู้อื่น เพื่อเป็นการป้องกันและปราบปรามผู้กระทำผิดและเพื่อคุ้มครองสังคมและสุจริตชน ขอให้ศาลงโทษจำเลยสถานหนักด้วย โดยศาลประทับรับฟ้องไว้ตั้งแต่วันที่ 29 พ.ย.61 ซึ่ง "จำเลย" ให้การรับสารภาพ ศาลจึงมีคำสั่งให้ เจ้าหน้าที่คุมประพฤติทำรายงานการสืบเสาะและพินิจ ในการแสวงหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับประวัติ-ภูมิหลังอายุ อาชีพของจำเลย สภาพความผิดพฤติการณ์แห่งคดี และเหตุอันควรปรานี กรณีการเยียวยาผู้เสียหาย สรุปเป็นรายงานสืบเสาะและพินิจส่งศาลประกอบการพิจารณาพิพากษาต่อไป

และกำหนดฟังคำพิพากษาวันนี้ (24 ม.ค.62) ซึ่ง นายภูวดล จำเลยก็ได้รับการปล่อยชั่วคราวไปโดยไม่มีหลักประกัน ก็เดินทางมาฟังคำพิพากษาตามนัดของศาล โดย "ศาล" พิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์ประกอบคำรับสารภาพของจำเลยแล้ว จึงพิพากษาว่า "จำเลย" มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 390 , พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ มาตรา 43 (4)(7)(8) , 157 , 160 วรรคสาม ซึ่งการกระทำของจำเลย เป็นการกระทำกรรมเดียวแต่ผิดกฎหมายหลายบท จึงให้ลงโทษฐานขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัย หรือความเดือดร้อนของผู้อื่น ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ มาตรา 160 วรรคสาม ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่มีโทษหนักสุด ให้จำคุก 2 เดือน โดยจำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษจึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยเป็นเวลา 1 เดือน แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน จึงให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นโทษกักขังเป็นเวลา 1 เดือน (กักขังในสถานที่กักขัง ซึ่งไม่ใช่เรือนจำ)

โดยเมื่อ "ศาล" พิเคราะห์รายงานสืบเสาะและพินิจจำเลยแล้ว เห็นว่า "ทางเท้า" ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก มาตรา 4 (11) คือพื้นที่ ที่ทำไว้สำหรับให้คนเดิน ซึ่งอยู่ข้างใดข้างหนึ่ง หรือทั้งสองข้างของทาง หรือส่วนที่อยู่ชิดขอบทาง ใช้เป็นที่สำหรับคนเดิน โดยกฎหมายดังกล่าวห้ามขับรถบริเวณทางเท้าโดยไม่มีเหตุอันสมควร โดยให้คำนึงถึงความปลอดภัยของคนเดินเท้า ซึ่งเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า การจราจรบนท้องถนนในเขต กทม. ทุกเขตมีความหนาแน่นติดขัดต้องใช้เวลาในการเดินทาง ดังนั้นการที่ "จำเลย" ขับรถจักรยานยนต์ด้วยความเร็วบนทางเท้าเพื่อหลีกเลี่ยงการจราจรที่ติดขัด เป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ของจำเลยแต่ฝ่ายเดียว โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยและความเดือดร้อนของผู้ใช้ทางเท้า จนเป็นเหตุให้เฉี่ยวชนผู้เสียหายซึ่งเดินบนทางเท้าได้รับอันตรายแก่กาย อันเป็นการจงใจฝ่าฝืนกฎหมายที่มีไว้คุ้มครองผู้ใช้ทางเท้า และยังเป็นการขาดจิตสำนึกต่อสังคมส่วนรวม อีกทั้งจำเลยเคยกระทำความผิดในลักษณะเดียวกันกับคดีนี้มาก่อน แต่ไม่ถูกจับดำเนินคดีอาญาพฤติการณ์แห่งคดี จึงเป็นเรื่องร้ายแรง

ซึ่งแม้ "จำเลย" จะมีภาระต้องเลี้ยงดูแลครอบครัว และบริษัทประกันภัยรถจักรยานยนต์คันที่จำเลยขี่ ได้ชดใช้ค่ารักษาพยาบาลให้ผู้เสียหาย และจำเลยได้กล่าวคำขอโทษผู้เสียหายกับบิดาของผู้เสียหายแล้ว พร้อมแสดงความรับผิดชอบจนเป็นที่พอใจของผู้เสียหายกับบิดาโดยไม่ประสงค์เรียกค่าเสียหายจากจำเลยอีกก็ตาม แต่ก็ยังไม่มีเหตุสมควรที่จะรอการลงโทษให้แก่จำเลย ส่วนรถจักรยานยนต์ของกลางนั้น ถือเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดโดยตรง ศาลจึงมีคำสั่งให้ริบไว้ด้วยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 33 (1) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลมีคำพิพากษาแล้ว "นายภูวดล" จำเลย ก็ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ เพื่อขอปล่อยชั่วคราว ระหว่างจะอุทธรณ์คดีนี้ ซึ่งขณะนี้คำร้องอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล