‘บาท’ เปิดตลาดเช้านี้ ‘แข็งค่า’ ที่ 31.67บาทต่อดอลลาร์

‘บาท’ เปิดตลาดเช้านี้ ‘แข็งค่า’ ที่ 31.67บาทต่อดอลลาร์

ตลาดเริ่มกลับมาเปิดรับความเสี่ยง คลายกังวลปัจจัยในอังกฤษและสหรัฐ เงินทุนไหลเข้าพักฝั่งเอเชีย

นายจิติพล พฤกษาเมธานันท์ นักกลยุทธ์ตลาดเงิน,ตลาดการเงินสหรัฐตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้าวันนี้ที่ระดับ 31.67บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นจากช่วงสิ้นวันทำการก่อนที่ระดับ 31.70 บาทต่อดอลลาร์

ในคืนที่ผ่านมา สภาอังกฤษยังคงมีมติ “ไว้วางใจ” นายกรัฐมนตรี เทเรซ่า เมย์ ส่งผลให้เงินปอนด์ของอังกฤษปรับตัวขึ้นต่อเนื่องมาที่ 1.288 ปอนด์ต่อดอลลาร์ และตลาดคาดว่าในที่สุดจะต้อนเลื่อนการเจรจาและเส้นตายเรื่อง Brexit ทั้งหมดออกไปก่อน

เมื่อความเสี่ยงระยะสั้นในอังกฤษลดลง ตลาดการเงินสหรัฐนำโดยหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีจึงฟื้นตัวต่อเนื่อง

ดัชนี S&P500 ปรับตัวบวกขึ้นถึง 0.2% แต่บอนด์ยิลด์อายุ 10 ปีของสหรัฐ ที่ปรับตัวขึ้นได้เพียง 1bp มาที่ระดับ 2.73% ยังคงสะท้อนภาพตลาดที่ไม่ได้เปิดรับความเสี่ยงมากนัก

ในระยะสั้น สิ่งที่ต้องจับตาต่อคือผลประกอบการของบริษัทในตลาดสหรัฐ และความเสี่ยงการเมืองระหว่างประเทศ 

ภาพรวมความเสี่ยงที่สูงยังคงเป็นปัจจัยหนุนให้เงินดอลลาร์แข็งค่าอยู่ได้เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักส่วนใหญ่

อย่างไรก็ตาม เราเริ่มเห็นว่านักลงทุนคลายความกังวลลงบ้างและหยุดขายสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกลงแล้ว ส่วนใหญ่เชื่อว่าเงินเฟ้อโลกจะไม่สูงขึ้นและเศรษฐกิจจะไม่เข้าสู่ภาวะถดถอนในปีนี้ ซึ่งจะเป็นบวกกับตลาดเกิดใหม่ และเมื่อยุโรปและสหรัฐยังมีปัญหาการเมืองเงินทุนก็จะไหลมาพักที่ฝั่งเอเชียมากกว่าด้วย

สำหรับค่าเงินบาทช่วงนี้แข็งค่าขึ้นมาที่ระดับสูงที่สุดในรอบ 8 เดือน และขึ้นมาเป็นอันดับ1 ของเอเชียนับตั้งแต่ต้นปีอีกครั้ง

เหตุผลหลัก มาจากเงินทุนไหลเข้าในฝั่งบอนด์หลังผลประมูลบอนด์ล่าสุดแสดงให้เห็นถึงปริมาณความต้องการที่อยู่ในระดับสูง ขณะเดียวกันก็มีแรงกดดันจากผู้ส่งออกที่ขายดอลลาร์ในช่วงต้นปีมาประกอบด้วย 

ระยะสั้นเราไม่เห็นแรงซื้อมาช่วยรับมากนัก จึงมีโอกาสผันผวนและแข็งค่าต่อได้ถ้าดอลลาร์พลิกกลับลงไปอ่อนค่าด้วย

มองกรอบค่าเงินบาทวันนี้ 31.60-31.80บาทต่อดอลลาร์

นักบริหารเงินธนาคารทหารไทย เปิดเผยว่า ตลาดโดยรวมยังคงเปิดรับความเสี่ยงต่อเนื่อง หลังทางการจีนเริ่มออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น ส่งผลให้ตลาดมีความหวังว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าวจะช่วยหนุนให้เศรษฐกิจจีนสามารถขยายตัวได้ต่อ ท่ามกลางความเสี่ยงสงครามการค้า

นอกจากนี้ ผลประกอบการของกลุ่มสถาบันการเงินในสหรัฐฯ ที่ออกมาค่อนข้างดีกว่าคาด ยังช่วยหนุนให้ตลาดเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น อย่างไรก็ดี หากพิจารณารายงาน Fed Beige Book จะพบว่าภาคธุรกิจสหรัฐฯ เริ่มเผชิญความเสี่ยงมากขึ้น ทั้ง ต้นทุนแรงงานที่สูงขึ้นจากสภาวะตลาดแรงงานที่ตึงตัว

รวมทั้ง ต้นทั้งการผลิตจากราคาวัตถุดิบและค่าขึ้นส่งที่สูงขึ้น ซึ่งสงครามการค้าก็เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ผลักดันต้นทุนการผลิต นอกจากนี้ ความผันผวนในตลาดการเงิน รวมทั้ง ราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง ยังกดดันความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจให้ลดลง ดังนั้น หากสงครามการค้ายังคงยืดเยื้อ(ซึ่งมีโอกาสเป็นไปได้ จากการที่บริษัท Huawei ของจีนยังคงตกเป็นเป้าการตรวจสอบในเรื่องการขโมยความลับทางการค้าของบริษัทสหรัฐฯ อาทิ T-Mobile) ภาคธุรกิจในสหรัฐฯอาจเผชิญแรงกดดันมากขึ้นและส่งกระทบต่อผลประกอบการภาคเอกชนสหรัฐฯได้ ซึ่งหากผลประกอบการของบริษัทเอกชนสหรัฐฯออกมาแย่กว่าคาด ตลาดก็พร้อมจะกลับไปปิดรับความเสี่ยงทุกเมื่อ

สำหรับวันนี้ ตลาดจะจับตาถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่ระดับสูงเฟด อาทิ Fed Quarles เพื่อหามุมมองเศรษฐกิจและแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด รวมทั้ง ตัวเลขดัชนีภาคการผลิตจาก Philadelphia Fed (Philly Fed Manufacturing Index) ซึ่งอาจปรับตัวลดลงต่อ ท่ามกลางการชะลอตัวของภาคการผลิตสหรัฐฯ

วันนี้มองเงินบาทมีแนวโน้มที่จะแกว่งตัวในช่วงกรอบ 31.60-31.75บาทต่อดอลลาร์